24 ก.ย. 2552

*Intel เปิดตัว Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊ก

ช่วงนี้ขออนุญาตรายงานข่าวการเปิดตัวเทคโนโลยีต่างๆ ในงาน IDF 2009 ของอินเทล (Intel) นะครับ เนื่องจากมีข้อมูลที่น่าสนใจมากมายทีเดียว ล่าสุดมีการเปิดตัวโพรเซสเซอร์ Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยใช้โค้ดเนมว่า Clasksfield นั่นหมายความว่า โน้ตบุ๊กที่ใช้โพรเซสเซอร์รุ่นนี้จะมาพร้อมกับขุมพลังประมวลผลที่ล้นเหลืออย่างแท้จริง

สำหรับในงาน Intel Developer Forum 2009 เมื่อวานนี้ ทางอินเทลได้เปิดตัว Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊กอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งสาธิตประสิทธิภาพการทำงานของโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับพลังประมวลผล 4 คอร์ (Quad core) และระบบสนับสนุนการเล่นเกมส์ที่เหนือชั้น รวมถึงการใช้งานแบบเวิร์กสเตชั่นระดับไฮเอ็นด์ โพรเซสเซอร์ Core i7 จะใช้สถาปัตยกรรม Nehalem ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ 45 นาโนเมตร

โค้ดเนมของ Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊กคือ Clasksfield โดยมันจะเป็นโพรเซสเซอร์สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Turbo-boost ของอินเทล ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วของสัญญาณนาฬิกาให้กับแต่ละคอร์ในโพรเซสเซอร์ได้ตามความต้องการของงานที่เกิดขึ้นขณะนั้น โดยความถี่ของแต่ละคอร์จะเพิ่มขึ้นช่วงละ 133MHz ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไปถึงระดับสูงสุดของมัน ตัวอย่างเช่น โพรเซสเซอร์ Claksfield ที่กำลังทำงานอยู่ที่ 2GHz จะสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นไปถึง 3.2 GHz ด้วยการใช้ Turbo-boost เป็นต้น นอกจากนี้โครงสร้างของ Clarksfield จะมีแชนเนลสำหรับการทำงานร่วมกับหน่วยความจำ DDR 3 1333MHz ถึง 2 แชนเนลด้วยกัน และทำงานร่วมกับชิปเซตรุ่นใหม่ PM55 Express Chipset 

ในส่วนของบริษัทผผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่จะออกโน้ตบุ๊ตที่ใช้โพรเซสเซอร์โมบาย Core i7 ได้แก่ Asus, Dell, HP และ Toshiba สำหรับราคาชิปที่ 1,000 ตัวของ Core i7-920XM, 820QM และ 720QM จะอยู่ที่ $1,054, $546 และ $364 ตามลำดับ

*คลิปหลุด!!! ไมโครซอฟท์ "แท็บเล็ต"

สำหรับภาพ และคลิปวิดีโอของแท็บเล็ตที่หลุดออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มันทำงานด้วยระบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วทั้ง 2 จอ โดยใช้สไตลัสในการอินพุตข้อมูล หรือเขียนข้อความต่างๆ เข้าไป อย่างไรก็ตาม มันดูคล้ายเครื่องอ่านอีบุ๊กมากกว่าคอมพิวเตอร์ ทางด้านไมโครซอฟท์ไม่ได้ให้คอมเมนต์ใดๆ เกี่ยวกับภาพ และคลิปที่หลุดออกมา อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวเรียกเจ้าแท็บเล็ตนี้ว่า "Courier"

เว็บไซต์มากมายตั้งข้อสังเกตว่า หากแท็บเล็ตของไมโครซอฟท์เห็นในภาพนี้เป็นของจริง ไมโครซอฟท์อาจจะไล่กวดแอปเปิ้ลได้ทันสำหรับอุปกรณ์ลักษณะนี้ก็ได้ แม้แอปเปิ้ลจะประสบความสำเร็จอย่างสวยงามสำหรับตลาดโน้ตบุ๊ก และทำท่าเหมือนจะเข้าไปในตลาดเน็ตบุ๊ก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ โดยส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะๆ ว่า ทางบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาอุปกรณ์ "แท็บเล็ต" (iPad ?)

Matt Buchanan บรรณาธิการจาก Gizmodo.com กล่าวถึง Courier ว่า มันดูเหมือนบุ๊กเล็ต (Booklet) มากกว่าแท็บเล็ต (tablet) "แทนที่จะมีลักษณะการแสดงผลเป็นหน้าจอเดียว มันกลับมีสองหน้าจอที่พับได้เหมือนหนังสือ"ซึ่งต้นแบบที่เห็นนี้เป็นอะไรที่ผู้ใช้รอคอย เนื่องจากมันดูทั้งเรียบง่าย และน่าจะใช้งานได้ง่ายอีกด้วย "ไมโครซอฟท์กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบอินเตอร์เฟซ โดยยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นจริงๆ" เขากล่าว "เนื่องจากมันมีแนวคิดมากมายในการออกแบบส่วนตัิดต่อไผู้ใช้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะเร่งรีบทำให้เสร็จได้อย่างง่ายดาย"

สำหรับคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ออกมาบนเว็บไซต์ Gizmodo แสดงให้เห็นว่า อินเตอร์เฟซของ Courier ลื่นไหล และรวดเร็วมากๆ ซึ่งทาง Buchanan ก็ไม่แน่ใจว่า มันใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Mobile กันแน่ นอกจากนี้ Ina Fried คอลัมนิสต์เว็บไซต์ซีเน็ตยังแสดงทรรศนะต่อคลิปทีเห็นว่า มันมีความเป็นไปได้อย่างมาก แต่ทีเห็นน่าจะเป็นหนึ่งในหลายต้นแบบที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาเท่านั้น

รายงานข่าวล่าสุดอ้างว่า ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอต้นแบบ "แท็บเล็ต" ของไมโครซอฟท์ได้หลุดออกมา และถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ Gizmodo เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งหากต้นแบบที่เห็นในภาพ และวิดีโอเป็นของจริง ตลาดนี้อาจจะไม่หมูสำหรับแอปเปิ้ลเสียแล้ว

LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?

เท่าที่ทราบผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังสับสนระหว่างจอ LED กับ LCD อยู่ดี ทั้งนี้เข้าใจว่า ฝ่ายการตลาดเรียก LED TV ก็เพื่อทำให้มันแตกต่างจาก LCD TV นั่นเอง

LED ย่อมาจาก Light-emitting-diode ซึ่งมันไม่ได้หมายถึง "ชนิด" ของทีวี แต่มันหมายถึงชนิดของ "เทคโนโลยีที่ใช้ส่องสว่างด้านหลังจอ" หรือ backlight ต่างหาก ในขณะที่ TV ทั้งสองชนิดยังคงเป็น LCD เหมือนเดิม ทั้งนี้ LCD จะย่อมาจาก Liquid-crystal display ซึ่งมันคือชนิดของเทคโนโลยีทีวี และมอนิเตอร์ โดยทั่วไป LCD จะใช้แสงสว่างส่องด้านหลัง (backlight) เป็น CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) เพื่อให้ความสว่างกับภาพในจอ LCD นั่นเอง แต่ LED TV จะแทนที่ CCFL ด้วย LED ทำให้ได้ภาพที่มีสว่าง-คม-ชัด-ลึกมากกว่า เรียกว่า คอนทราสของมันให้ความ "สว่างไสว-มึดสนิท" อย่างแท้จริง รวมถึงสีสันที่สมจริงมากขึ้นอีกด้วย ขออนุญาตอธิบายความแตกต่างอย่างสั้นๆ อีกครั้งตรงนี้นะครับ

กลับมาที่คำถามว่า LED ดีกว่า LCD อย่างไร? นอกจากเรื่องของความสว่างคมชัด-คอนทราสสุดๆ แล้ว การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบจอ LED TV ได้บางกว่า LCD TV มาก ส่วนข้อดีข้อต่อไปก็คือ LED TV เป็นมิตรกับธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ใช้ CCFL ที่มีสารปรอท (สารพิษอันคราย) แถมยังใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ที่สำคัญ มันมีอายุการใช้งานที่นานกว่าจอ LCD อีกต่างหาก (โดยทั่วไปจะนานกว่าประมาณ 2 เท่า) ฟังข้อดีมาเยอะแล้ว ข้อเสียของ LED TV ก็คือ มันแพงกว่ามาก โดยผู้ผลิตให้เหตุผลว่า ราคาที่สูงขึ้นเกิดจากการออกแบบให้บางลง และคุณภาพของความคมชัด ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้เกิดจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีส่องสว่างด้านหลังจอด้วย LED โดยแท้ นอกจากนี้ LED TV รุ่นใหม่ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติให้แพงเว่อร์ขึ้นไปอีกด้วย เทคโนโลยี 240Hz ที่ำให้ได้ชมการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น

หากพิจารณาจากข้อดีข้อเสียแล้ว LED TV หรือทีวีแอลซีดีที่ใช้แบคไลท์เป็น"แอลอีดี"เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าอยู่ดี โดยเฉพาะคุณภาพที่ได้ แม้มันจะมีราคาที่แพงกว่า แต่คุณก็ได้อายุการใช้งานคืนมา ดังทีได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก่อนจบคำถาม (ที่ไม่รู้ว่าตอบยาวไป หรือเปล่า?) มีทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อนชอปมาฝากด้วยครับ โดยหากคุณตัดสินใจที่จะซื้อเป็น LED TV แนะนำให้เลือกรุ่นทีมาพร้อมกับ Local dimming ซึ่งมันสามารถปิดกลุ่ม LED สำหรับพิกเซลของภาพที่เป็นสีดำ (ไม่มีประโยชน์ที่จะส่องสว่างพิกเซลที่ต้องมึดสนิท) ด้วยวิธีนี้นอกจากจะได้คอนทราสเพิ่มขึ้นแล้ว มันยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย หวังว่า คำแนะนำเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านอีกหลายๆ ท่านที่กำลังเลือกซื้อ LED TV กันอยู่นะครับ

ดูแลแบตฯให้ใช้ได้นานๆ

ผู้ใช้โน้ตบุ๊กเรื่องส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจกับ "แบตเตอรี่" น้อยมาก ยกเว้นเวลาทีมีข่าวว่า มันร้อนจนลุกไหม้ หรือมีประกาศเรียกคืน ถึงจะตื่นเต้นให้ความสนใจพวกมันทีหนึ่ง อย่างมากก็อาจจะตั้งค่าการใช้พลังงานของแบตฯ (นึกแล้วน่าน้อยใจเหมือนกันนะเนี่ย) แต่สำหรับ Battery Care ฟรีแวร์เล็กๆ ตัวนี้จะช่วยดูแลสุขภาพของแบตเตอรี่ให้แทนคุณได้


Battery Care จะให้ความสนใจห่วงใยแบตเตอรี่ในโน้ตบุ๊กของคุณมากเป็นพิเศษ โดยมันสามารถตอบคำถามในสิ่งทีคุณนึกไม่ถึง ตัวโปรแกรมจะคอยตรวจสอบรอบเวลาที่ใช้ในการชาร์จ และดิสชาร์จแบตเตอรี่ตลอดเวลา ก่อนที่จะใช้อัลกอริธีมในการประเมินจากข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้ว่า ถึงเวลาหรือยัง? ที่คุณควรจะดิสชาร์จแบตฯให้้หมดโดยสมบูรณ์สักที ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยยืดอายุ หรือลดอาการเสื่อมของแบตฯได้

ได้เวลาดิสชาร์จ (discharge) แบตเตอรี่โดยสมบูรณ์ เพื่อยืดอายุแบตฯ แล้ว

และเนื่องจากโปรแกรมสามารถเรียนรู้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ ทำให้มันคำนวณเวลาที่เหลือสำหรับการใช้งานต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังแสดงพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ ตลอดจนยี่้ห้อผู้ผลิตให้ทราบได้อีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมสามารถช่วยปรับแต่งค่าการใช้พลังงานของระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Aero graphic ของ Vista และบริการอื่นๆ ที่กินไฟมากๆ ซึ่งสามารถใช้แทนยูทิลิตี้ Power Management ได้ อ้อ...โปรแกรมสามารถแสดงผลอุณหภูมิของ CPU ได้อีกด้วย


ลบไม่ได้? ไฟล์ถูกล็อค!!!

หากคุณผู้อ่านกำลังเผชิญกับปัญหาที่ว่า Windows ไม่ยอมให้ลบไฟล์ที่ไม่ต้องการออกไป ทำอย่างไรก็ลบไม่ได้ คำแก้ตัวที่ได้ยินจนคุ้นเคยจากระบบปฏิบัติการก็คือ ไฟล์ดังกล่าวถูก"ล็อค" หรือไม่ก็กำลังถูกใช้งานโดยโปรแกรมตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญมีใช่น้อย โดยเฉพาะมือใหม่หัดใช้คอมพิวเตอร์


บางทีสิ่งที่ระบบปฏิบัติการแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบนั้น อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เราลบไฟล์เจ้าปัญหาไม่ได้เสียทีเดียว แต่ถ้าคุณมีความรู้เรื่องการใช้คำสั่ง Command Line ปัญหาระบบไม่ยอมให้ลบไฟล์อาจจะแก้ไขได้ง่ายขึ้น เอ่อ...แต่ว่า แค่จะลบไฟล์ทีไม่ต้องการถึงกับต้องรู้ลึกขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย? แล้วเมื่อไรจะได้ลบพวกมันออกไปสักทีล่ะ

วันนี้ผมมีวิธีที่ง่ายกว่ามานำเสนอครับ นั่นก็คือ LockHunter ฟรีแวร์ตัวเล็กๆ แค่เม็กกว่าๆ ที่ช่วยปลดล็อคพันธนาการไฟล์เจ้าปัญหาเหล่านี้ให้คุณได้ภายในอึดใจ อีกทั้งยังแสดงผลให้คุณทราบด้วยว่า ใครกันนะที่เหนี่ยวรั้งไฟล์ไว้ไม่ยอมให้คุณลบได้สำเร็จ เพียงแค่คลิกขวาบนไฟล์ที่คุณลบไม่ได้ เลือกรายการ "What is locking this file?" โปรแกรม LockHunter จะปรากฎขึ้นม พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบทันทีว่า ไฟล์ของคุณถูกล็อคโดยใคร ซึ่งอาจจะเป็น process ของวินโดวส์ที่คุณไม่รู้จักก็ได้ จากนั้นคลิ้กปุ่ม Unlock It! แล้วคลิ้กปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์เจ้าปัญหาออกไปซะ ไฟล์ที่ถูกลบจะถูกส่งไปยัง Recycle Bin เผื่อคุณเปลี่ยนใจในภายหลัง


18 ก.ย. 2552

เกมส์ Tetris + Pong =?

ขอเริ่มต้นด้วยเกมส์สนุกๆ โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบเกมส์คลาสสิกอย่าง Tetris และ Pong แบบว่า วันไหนไม่ได้เล่นสองเกมส์นี้ แล้วรู้สึกเหมือนชีวิตขาดหายอะไรบางอย่าง...ว่าแล้วก็ขอเอาใจคอเกมส์เก๋า ด้วยเกมส์ใหม่ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ความสนุก-ตื่นเต้นจาก เกมส์ทั้งสองได้พร้อมกัน นั่นก็คือ "TetriPong" ลองมาดูสิว่า เมื่อเกมส์ปองทะลุมิติเข้ามาในเกมส์เททริสมันจะเป็นอย่างไร?

Jayenkai นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้สร้างเกมส์ใหม่ทีเกิดจากการผสมรูปแบบการเล่นของเกมส์ คลาสสิก 2 เกมส์เข้าด้วยกันนั่นคือ Pong กับ Tetris โดยพื้นฐานของการเล่นจะยังคงเป็นเททริสอยู่เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือ ปอง ที่สามารถเด้งข้ามทะลุขอบ ชน "บล็อค" ต่างๆ ที่กำลังร่วงหล่นลงมา หรือแม้แต่ที่จัดเรียงใกล้ครบแถวแล้วก็ตาม แบบว่า ปอง จะกลายเป็นอุปสรรค เพิ่มเติมเข้ามาในเกมเททริส นอกเหนือจากเวลาที่เร็วขึ้น กับชิ้นบล็อคที่ไม่ลงตัว เฮ่อ...ลำพังเททริสก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอกับเจ้าปองจอมป่วนอีกเนี่ยนะ

สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดเกมส์ Tretripong ได้แล้ววันนี้ นอกจากเกมส์ Tetrispong แล้ว ทางนักพัฒนายังมีไอเดียรวมเกมส์คลาสสิกอย่าง Centipede ตะขาบจอมซ่ากับ Pong เป็น CentiPong อีกด้วย ผมชอบไอเดียนี้มาก เพราะเป็นอีกหนึ่งวิธีคิด หรือการสร้างนวตกรรม เพียงแค่เอาของเก่ามาเขย่ารวมกันก็เป็นของใหม่ได้แล้ว...

Firefox ยกเลิกการเรียกคืน "Session"

ถาม: ทุกครั้งที่ Firefox 3.5.2 ล่มการทำงาน เวลาเปิดขึ้นมา มันมักจะเรียกคืนหน้าเว็บทั้งหมด (restore session) ก่อนระบบจะเดี้ยงลงไป ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้มากนัก บ่อยครั้ง(พักหลังล่มบ่อยเหลือเกิน)มันทำให้ผมต้องรอโหลดหน้าเว็บที่ไม่ได้ อยากดู แต่ยังไม่ได้ปิดก่อนมันเดี้ยง พอจะมีวิธียกเลิกคุณสมบัติการทำงานนี้บ้างไหมครับ?

ตอบ: ก่อนอื่นคงต้องถามว่า แน่ใจนะครับ ว่าต้องการอย่างนั้น ถ้าต้องการจริงๆ ก็จัดให้ได้ครับ โดยขั้นแรกให้คุณเปิดบราวเซอร์ Firefox ขึ้นทำงาน จากนั้นพิมพ์ในช่องแอดเดรสว่า about:config ขั้นตอนต่อไปก็คือ พิมพ์ในช่อง filter เพื่อหารายการที่ระบุว่า browser.sessionstore.max_resumed_crashes ให้ ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้ แล้วกำหนดค่าของมันให้เป็น "0" รีสตาร์ทไฟร์ฟอกซ์ก็เป็นอันเรียบร้อย ซึ่งหลังจากนี้ไป เมื่อ Firefox เดี้ยงขึ้นมาขณะทำงาน เวลาเปิดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ มันจะไม่มีการ restore session ให้คุณอีกต่อไปแล้วนะครับ จนกว่าคุณจะแก้กลับคืนเป็นอย่างเดิม...เราเตือนท่านแล้วนะ :p

อยากมี"ฟอนต์"ลายมือตัวเอง?

คุณเคยนึกอยากมี" ฟอนต์" (Font) หรือชุดตัวอักษรที่ใช้พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ที่เป็นลายมือของตัวเองบ้างไหมครับ ? ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยคิดอยากมีไว้ใช้กับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่า มันไม่ง่ายนักที่จะสร้างฟอนต์ขึ้นมาใช้งาน ล่าสุดผมไปพบบริการบนอินเทอร์เน็ตที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถสร้างฟอนต์จากลาย มือตัวเอง เพื่อนำไปใช้ในระบบปฏิบัติการ Mac หรือ Windows ก็ได้ ที่สำคัญเป็นบริการ"ฟรี" และไม่ต้องลงทะเบียนก่อนใช้งานแต่อย่างใด

สำหรับบริการที่ผมกำลังพูดถึงนี้ือยู่บนเว็บไซต์ทีมีชื่อว่า Fontcapture.com โดยขั้นตอนการสร้างฟอนต์ก็ง่ายมาก เริ่มต้นจากดาวน์โหลดแบบฟอร์ม (ไฟล์ pdf) ทีใช้ในการเขียนตัวอักษรแต่ละตัวด้วยลายมือของเรามาก่อน ซึ่งคุณจะต้องพิมพ์แบบฟอร์มนี้ออกมา เพื่อใช้ปากกาเขียนตัวอักษรแต่ละตัวลงไปในช่อง

แบบฟอร์มที่กองบรรณาธิการ arip ทดลองดาวน์โหลดมา เพื่อเขียนชุดอักษรทีต้องการ แล้วสแกนเป็นไฟล์กราฟิก JPG (PNG จะดีกว่าครับ)

ตัวอย่างผลลัพธ์การใช้ฟอนต์ที่สร้างจากลายมือของเราโดย fontcapture โดยฟอนต์ที่ได้จะเป็น .TTF

เมื่อ เขียนเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ นำไปสแกนที่ความละเอียด 200 dpi จัดเก็บเป็นฟอร์แมต GIF หรือ PNG จากนั้นอัพโหลดไฟล์กราฟิกของชุดตัวอักษรที่เราสร้างไปให้กับเว็บไซต์ Fontcapture.com พร้อมตั้งชื่อฟอนต์ (Font Name) และผู้เขียน (Author) ซึ่งบริการจะแปลงภาพชุดตัวอักษรที่เขียนด้วยยลายมือคุณให้กลายเป็น ไฟล์ฟอนต์ที่พร้อมใช้งาน ให้คุณดาวน์โหลดกลับมาได้ เอาล่ะครับ คุณผู้อ่านท่านไหนสนใจ ลองเข้าทำตามขั้นตอนนี้จากบนเว็บไซต์ที่แนะนำมา หากได้ผลอย่างไรก็เล่าสูกันฟังบ้างนะครับ

กำจัดข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เก่า

ถาม: อยากทราบวิธีที่ดีทีสุดในการทำลายข้อมูลที่เป็นความลับ ซึ่งอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าค่ะ โดยไม่ต้องการให้ใครสามารถกู้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นขึ้นมาได้อีก รบกวนช่วยแนะนำวิธีทำลาย หรือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

ตอบ: คำถามยอดฮิตสลับกับวิธีกู้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ หรือแฟลชไดรฟ์ เรือยไปจนถึงการ์ดหน่วยความจำในกล้องถ่ายรูปก็คือ การทำลายข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ให้สิ้นซาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยตอบไปแล้วว่า สามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Heidi Eraser หรือ ไม่ก็ใช้เครื่องทำลายฮาร์ดดิสก์แบบมือหมุนที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าอยากไฮเทคฯ หน่อยก็ใช้รุ่นข้างล่างนี้ แบบว่า แค่กดปุ่มปุ๊บ ฮาร์ดดิสก์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม จะถูกเจาะกดกระแทกเป็น 4 รูทะลุจนไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้อีก

 

แต่นั่นดูจะเป็นวิธีทีโหดและลงทุนมากไปหน่อย ล่าสุดผมไปพบซอฟต์แวร์ทำลายข้อมูลที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งชื่อว่า Active@killdisk บนเว็บไซต์ killdisk.com ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี โดยซอฟต์แวร์ตัวนี้จะเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์ของคุณให้กลายเป็นขยะ ด้วยการเขียนทับด้วย "0" ตลอดจนทั่วฮาร์ดดิสก์ (เวอร์ชันโปรฯ สนับสนุนถึง 17 มาตรฐานความปลอดภัยในการลบข้อมูล) เหตุผลที่จำเป็นต้องลบด้วยวิธีนี้ก็เนื่องจากเวลาลบไฟล์ใน Windows มันไม่ได้ถูกลบจริงๆ ข้อมูลที่ถูกลบยังอยู่ในฮาร์ดดิสก์ การเขียนทับด้วยข้อมูลอื่นจึงเป็นวิธีลบที่ปลอดภัยที่สุด

รวมฮิต"แผ่นโกง"วิธีใช้กูเกิ้ล

เวลาว่างพวกเราเราชอบหาของฟรี(ที่มีประโยชน์)จากบนเน็ตอยู่เสมอ พอดีว่าไปเจอทิปเจ๋งๆ ที่แจกฟรีสำหรับผู้ใช้กูเกิ้ล(Google)บนบล็อกแห่ง หนึ่ง โดยบางไซต์ที่แนะนำมาจะสามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF เพื่อนำมาพิมพ์เก็บไว้อ้างอิงเวลาใช้งานได้เลย จะเรียกว่าเป็น "Cheat Sheet" ก็ได้ เพราะมันรวบรวมคำสั่งต่างๆ แบบย่อสำหรับดูเพื่อใช้งานกูเกิ้ลได้ทันที สะดวก ง่ายดาย โดนใจวัยโจ๋จริงๆ

นอกจากชุดคำสั่ง และวิธีเข้าถึงฟังก์ชันของบริการ ตลอดจนเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ ของกูเกิ้ลแล้ว บางเว็บไซต์ยังมีการเผยทิปเด็ดๆ ที่ซุกซ่อนไว้อีกด้วย ซึ่งคุณผู้อ่านสามารถดาวน์โหลด หรือพิมพ์เก็บไว้อ้างอิง เพื่อใช้เป็นเหมือนคู่มืออย่างย่อๆ ในการใช้บริการของกูเกิ้ลให้คุ้มค่า ส่วนจะมีอะไรบ้างนัันตามไปดูกันเลย

1. Google Help: Cheat Sheet สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดใช้กูเกิ้ล แล้วอยากจะทราบเทคนิคการค้นหาให้ได้สิ่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ผมว่า เข้าไปที่นี่เหมาะสุด เพราะเป็นที่รวบรวมเทคนิคพื้นฐานที่มือใหม่น่าจะลองหัดใช้ รับรองไม่ผิดหวังครับ

2. Google Docs & Spreadsheets Keyboard Shortcuts ส่วนที่นี้เหมาะสำหรับใครที่ใช้บริการแอพฯออนไลน์ เพราะเป็นที่รวบรวมคีย์ลัดของบริการทั้งสองไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งประหยัดเวลา และเวิร์กสุดๆ

3. Google Cheat Sheet (v.1.6) ส่วนตัวนายเกาเหลาชอบ"แผ่นโกง(การใช้งาน)"ของที่นี่มาก เพราะนอกจากจะรวบรวมชุดคำสั่ง และฟังก์ชันที่น่าสนใจได้อย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีการจัดวางรูปแบบสวยงามน่าใช้อีกด้วย สามารถดาวน์โหลดไฟล์ PDF มาพิมพ์ได้เลย (เทคนิค ค้นหนัง ค้นเพลง อยู่ที่นี่ด้วยล่ะ)

4. Google Calculator Sheet Cheat สำหรับใครที่ชอบใช้กูเกิ้ลแทนเครื่องคิดเลข ต้องมาที่เลย เพราะมันจะรวมทุกฟังก์ชันของการคำนวณที่กูเกิ้ลทำได้ เรียกได้ว่า คุณสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือช่วยทำการบ้านคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

5. Google Advanced Operators Cheat Sheet อันสุดท้ายนี้เป็นแผ่นโกงสำหรับการใช้ตัวกระทำ (Operator) ขั้นสูง เพื่อการค้นหาที่ยิบย่อยเจาะจงลงไปมากขึ้น รับรองว่า หลายๆ คำสั่ง คุณผู้อ่านจะไม่เคยใช้มาก่อนอย่างแน่นอน

หวังว่า แหล่งของฟรีสำหรับการใช้บริการกูเกิ้ลให้คุ้มค่า คงจะเป็นที่ถูกใจของคุณผู้อ่านนะครับ แล้วว่างๆ จะหาทิปมาฝากกันอีกนะครับ

11 ก.ย. 2552

Utilities 2002 โปรแกรมคู่บารมี PC ไม่มีไม่ได้!

 

ถ้าเป็นมือใหม่หัดเล่นส่วนมากจะนิยมแก้ปัญหาด้วยการยกเครื่องไปให้ร้านซ่อม โดยไม่ได้วิเคราะห์ก่อนว่าสาเหตุเกิดจากอะไร ทั้งๆ ที่ถ้าอาการผิดปกติไม่ได้ร้ายแรงถึงขนาดอุปกรณ์ภายในเครื่อง (Hardware) ชำรุด เราก็สามารถตรวจสอบ และแก้ไขความผิดปกติของเครื่องได้ด้วยตนเอง โดยอาศัยโปรแกรมประเภทหนึ่งที่เรียกกันว่ายูทิลิตี้ (Utilities)

ยูทิลิตี้ คำนี้พูดบ่อย แต่ไม่ค่อยเข้าใจ
โดยเฉพาะมือใหม่หัดใช้คอมพ์ส่วนมาก พอเจอคำศัพท์แปลกๆ ก็มักจะไม่ค่อยใส่ใจใฝ่รู้…ส่วนมากจะใช้วิธีละเอาไว้ในฐานที่ (เกือบ) เข้าใจเอาไว้ก่อน ไม่เชื่อลองถามตัวเองดูสิครับว่า อะไรคือความแตกต่างระหว่าง แอพพลิเคชัน (Application), ยูทิลิตี้ (Utility) และแอ็กเซสซอรี่ (Accessories) ?

เจอคำถามที่ต้องอาศัยความเข้าใจอย่างจริงจังแบบนี้เข้า ส่วนใหญ่ก็จะตอบแบบกำกวมรวมกำปั้นทุบดินเข้าไว้ก่อน ว่าไอ้เจ้าทั้งหมดทั้งหลายที่ว่ามาก็คือ “โปรแกรม” นั่นเอง

เฮ้อ! ตอบแบบนี้ไม่ผิดหรอกครับ แต่มันตะขิดตะขวงใจ เพราะโปรแกรมทั้งสามประเภทที่ว่ามา ล้วนแต่มีเอกลักษณ์ และลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกัน มิฉะนั้นฝรั่งเขาคงไม่แบ่งแยกเป็นประเภทให้เมื่อยสมองหรอกขอรับ

แอพพลิเคชัน หรือที่นักภาษาศาสตร์สติเฟื่องบ้านเราให้คำจำกัดความไว้ว่า "โปรแกรมประยุกต์” นั้น หมายถึงซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อจัดการกับงานเฉพาะทาง เช่น พวกโปรแกรมพิมพ์เอกสาร (Word Processing) โปรแกรมกราฟิก เป็นต้น ส่วนแอ็กเซสซอรี่ ก็มีความหมายเฉพาะตัวที่ฟังดูน่ารักน่าชังเหลือเกินว่า “โปรแกรมกระจุ๊กกระจิ๊ก” เช่น พวกเครื่องคิดเลข, โปรแกรมนาฬิกาปลุก หรือโน้ตแพด (Notepad) อะไรทำนองนี้ และสำหรับยูทิลิตี้ ซึ่งถือเป็นพระเอกในดวงใจของผม ก็คือโปรแกรมที่คอยเสริมการทำงาน เพื่อช่วยให้เราจัดการเรื่องวุ่นๆได้สะดวก ง่ายดายมากขึ้น ดังนั้น โปรแกรมไมโครซอฟท์เวิร์ดจึงไม่จัดเป็นยูทิลิตี้ และ WinZip ก็ไม่ใช่แอพพลิเคชัน

ปัจจุบันมียูทิลิตี้อยู่หลายประเภท บางตัวทำหน้าที่คอยดูแลรักษาเครื่องคอมพ์แทนเรา ในขณะที่บางตัวก็ถูกออกแบบมาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และอำนวยความสะดวกในการใช้งาน โปรแกรมเพิ่มความเร็วในการท่องอินเทอร์เน็ตต่างๆ นานา นั่นก็ใช่ยูทิลิตี้อีกเหมือนกัน...เอาละสิ มีเยอะแยะจนปวดหัวแบบนี้แล้วจะเลือกตัวไหนมาใช้กันดีหว่า?

ยูทิลิตี้ดาวเด่นในแต่ละด้าน
เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์แสนรักของคุณๆ ต้องรกหรือสกปรกไปด้วยยูทิลิตี้จนมากมายเกินความจำเป็น จึงขอถือโอกาสนี้แนะนำโปรแกรมตัวเด็ด ที่บรรดาเกจิเซียนคอมพ์จากทั่วทุกสารทิศต่างยกย่องให้เป็นโปรแกรมที่ควรค่าแก่การติดตั้งเอาไว้เป็นอย่างยิ่ง

Norton Utilities 2002 : อรรถประโยชน์แบบสากกะเบือยันเรือรบ
ยูทิลิตี้ตัวแรก ถือเป็นชุดโปรแกรมสารพัดประโยชน์ที่ควรมีติดเครื่องเอาไว้ เสมือนเป็นตู้ยาสามัญประจำเครื่องคอมพ์ เพราะประกอบไปด้วยยา (โปรแกรม) หลายขนาน ที่จะช่วยปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ และเสริมสร้างสมรรถภาพทางความเร็ว (รู้นะ…คิดอะไรอยู่) ให้กับคอมพิวเตอร์แสนรักของคุณๆ ได้อย่างชะงัดนักแล โดยในตัวของ Norton Utilities 2002 นั้นจะประกอบไปด้วยโปรแกรมต่างๆ ดังนี้
  • Speed Disk
    เห็นชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า นี่คือโปรแกรมสำหรับจัดระเบียบสังคม เฮ้ย! จัดระเบียบข้อมูลบนฮาร์ดดิสก์ เหมือนกับ Disk Defragment ที่อยู่ในวินโดวส์นั่นเอง เพียงแต่เจ้าโปรแกรมตัวนี้จะบอกสถานะระหว่างทำงานได้ดีกว่ามาก
  • Norton WinDoctor
    โปรแกรมสำหรับช่วยแก้ปัญหาของวินโดวส์ ซึ่งจะทำงานโดยอัตโนมัติ หากพบความผิดปกติอะไรก็จะรายงานให้ผู้ใช้ทราบ พร้อมทั้งบอกวิธีแก้ไขให้เสร็จสรรพ ยิ่งถ้าใครเป็นมือใหม่ซิงๆ แค่กระดิกนิ้วคลิ้กเมาส์เพียงไม่กี่ครั้ง คุณหมอ Norton คนนี้ ก็จะลงมือแก้ปัญหาแทนคุณให้ทันที
  • Norton Disk Doctor
    เป็นเครื่องมือสำหรับตรวจสอบ และแก้ปัญหาที่เกิดกับแผ่นดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ หรือพูดง่ายๆ ก็คือโปรแกรม Scandisk ในแบบฉบับของ Norton นั่นเอง ความสามารถของเจ้าโปรแกรม NDD ตัวนี้ก็จัดว่าไม่ธรรมดาเลยขอรับ เพราะสามารถตรวจสอบโครงสร้างของฮาร์ดดิสก์ และทำการซ่อมแซมข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้โดยอัตโนมัติ หากเจอปัญหาหนักๆ เหมือนวันมามาก เช่น พื้นผิวของฮาร์ดดิสก์บกพร่อง มันก็จะทำเครื่องหมายเอาไว้ว่าเป็น Bad Cluster เพื่อป้องกันไม่ให้โปรแกรมอื่นๆ เข้ามาใช้งานพื้นที่ส่วนนี้ แหม…แสนรู้จริงๆ
  • Norton System Doctor
    ชื่ออาจละม้ายคล้ายคลึงกับโปรแกรมตัวก่อนหน้า แต่หน้าที่ของเจ้าโปรแกรมตัวนี้จะมีขอบเขตที่กว้างกว่าพอสมควร เนื่องจากต้องทำหน้าที่ตรวจเช็กทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดที่อยู่ในเครื่องของคุณ เพื่อดูว่ายังมีสุขภาพดีอยู่หรือไม่ นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำดีๆ (เป็นภาษาอังกฤษ) เพื่อให้คุณปรับแต่งคอมพิวเตอร์ให้แรงสะใจ เหมือนตอนซื้อเครื่องมาใหม่ๆ อีกด้วย
  • The Norton Protected Recycle Bin
    เป็นเครื่องมือที่ช่วยคุณบริหารและจัดการในส่วนของ Recycle Bin เพิ่มความซับซ้อนของหลักการทำงาน Recyble Bin เดิม อย่างเช่น การจัดเก็บไฟล์ที่มีชื่อเดียวกัน, การอ้างถึงวันที่ในการลบข้อมูลเพื่อกู้ไฟล์เหล่านั้นกลับคืนมา เป็นต้น
  • The UnErase
    โปรแกรมตัวนี้ดูเผินๆ อาจจะคิดว่าทำงานเหมือนกันกับ Recycle Bin ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ได้มีส่วนคล้ายกันเลย เพราะโปรแกรมตัวนี้จะทำการกู้ไฟล์ที่โดนลบไปจากฮาร์ดดิสก์และ Recycle Bin แล้ว กลับคืนมา โดยมีข้อแม้ว่าเนื้อที่เดิมที่ใช้เก็บไฟล์ดังกล่าว จะต้องยังไม่โดนเขียนข้อมูลใหม่ทับลงไป ในขณะที่ Recycle Bin จะทำการย้ายไฟล์ที่เราสั่งลบ ไปไว้ในโฟล์เดอร์ของตัวเองแทน หน้าจอของ Norton System Doctor รายงานสถานะของเครื่องแบบละเอียดยิบ
  • ซ่อน และแสดงไฟล์ หรือโฟลเดอร์แบบเร่งด่วน

     

    ไฟล์ หรือโฟลเดอร์บางอัน เราอาจจะไม่ต้องการให้ใครเห็น ดังนั้น เราคงต้องรีบหาซอฟต์แวร์เพื่อมาช่วยซ่อนไฟล์ และโฟลเดอร์ที่เราต้องการ

    ไฟล์ หรือโฟลเดอร์บางอัน เราอาจจะไม่ต้องการให้ใครเห็น ดังนั้น เราคงต้องรีบหาซอฟต์แวร์เพื่อมาช่วยซ่อนไฟล์ และโฟลเดอร์ที่เราต้องการ ซึ่งบางครั้งที่เราต้องการซ่อนไฟล์ หรือโฟลเดอร์แบบทันที อาจจะไม่ค่อยสะดวกนักที่จะต้องมาหาซอฟต์แวร์ และติดตั้งลงไป ซึ่งใน Windows XP ก็มีวิธีการซ่อนไฟล์ หรือโฟลเดอร์มาให้ด้วย รับรองว่าทำได้รวดเร็ว และยังสะดวกอีก สำหรับวิธีการก็ง่ายๆ รวมถึงยังสามารถซ่อนไฟล์พร้อมๆ กันหลายๆ ไฟล์ได้ด้วย ทำได้ขนาดนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าทำอย่างไรกันบ้าง
    1. เลือกไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ไม่อยากให้แสดง คลิ้กเมาส์ด้านขวา แล้วเลือกที่ Properties จะปรากฏหน้าต่าง Properties ขึ้นมาในนั้นจะมีรายละเอียดต่างๆ ของไฟล์ ขนาดไฟล์ วันที่ และการเรียกใช้ไฟล์ (รูปที่ 1)

    รูปที่ 1

    รูปที่ 2

    2. มองดูที่ด้านล่างสุดของหน้าต่าง Properties จะพบกับส่วนของ Attributes ซึ่งจะมีตัวเลือกให้ 3 ตัวด้วยกันคือ Read-only , Hidden และ Archive สังเกตว่าถ้าเราคลิ้กที่ตัวเลือกไหน ก็จะมีเครื่องหมายถูก (รูปที่ 2)

    รูปที่ 4

    รูปที่ 3

    3. ให้เราคลิ้กเลือกที่คำว่า Hidden ซึ่งจะเป็นการสั่งให้ไม่แสดงไฟล์นั้น ถึงขั้นตอนนี้ก็ลองคลิ้กได้เลยค่ะ เมื่อเราดูในโฟลเดอร์อีกครั้งไฟล์นี้จะหายไปทันที และถ้ายังอยู่ให้ลองกด F5 ดูค่ะ จะเป็นการรีเฟรชหน้าจอใหม่ (รูปที่ 3)
    4. สำหรับวิธีนี้จะใช้แบบเดียวกันทั้งกับไฟล์ และโฟลเดอร์นะค่ะ และหากว่าเราต้องการเรียกดูไฟล์ที่เราซ่อนไว้ วิธีการก็ไม่ยากค่ะ ให้เปิดหน้าต่าง Windows Explorer ขึ้นมาก่อน แล้วคลิ้กที่ Tools เลือก Folder Options จะมีหน้าต่าง Folder Options ขึ้นมา ให้เข้าไปในส่วนของ View (รูปที่ 4)
    5. ในส่วนของ View จะมีตัวเลือกต่างๆ มากมายค่ะ ให้สังเกตบรรทัดที่บอกเอาไว้ว่า Hidden files and folder ซึ่งจะมีตัวเลือกใช้ 2 อย่างก็คือ Do not show hidden files and folders หมายถึงจะไม่ให้แสดงไฟล์ที่เราได้ซ่อนเอาไว้ และ Show hidden files and folders ให้แสดงไฟล์ที่ซ่อนเอาไว้ ซึ่งในหน้าต่าง Windows Explorer จะแสดงไฟล์และโฟลเดอร์ที่เราได้ซ่อนไว้ เป็นแบบจางๆ ตรงเมนูนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม (รูปที่ 5)

    รูปที่ 5

    รูปที่ 6

    6. สำหรับผู้อ่านที่ต้องการให้แสดงไฟล์เหมือนเดิม ทำตามขึ้นตอนเดิมเหมือนกับการสั่งให้ซ่อนไฟล์ตอนแรก แต่คราวนี้ให้คลิ้กเอาเครื่องหมายถูกหน้า Hidden ออก แค่นี้ไฟล์ต่างๆ ก็จะออกมาแสดงให้เห็นเหมือนเดิมแล้วค่ะ (รูปที่ 6)

    “ลายมือ” มีสิทธิ์สูญพันธุ์

     

    ความเจริญของโลกทำให้หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเป็นมรดกสำคัญมีโอกาสสูญหายไป นักเขียนคนหนึ่งในอังกฤษเขียนหนังสือชื่อ “Script and Scribble: The Rise & Fall of Handwriting” ทำนายว่าการเขียนด้วยมือกำลังสูญพันธุ์อย่างช้า ๆ

    คิตตี้ เบิร์นส์ ฟลอเรย์ ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าว บีบีซี ว่าศิลปะการเขียนหนังสือด้วยมือกำลังเสื่อมไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากคนรุ่นใหม่ใช้ปากกาเขียนหนังสือเองน้อยลงเพราะมีการใช้ระบบสื่อสารสมัยใหม่ผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือกันอย่างแพร่หลายทั่วโลกและมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยตลอด ทำให้ไม่มีความจำเป็นในการเขียนหนังสือด้วยมืออีกต่อไป

    ฟลอเรย์ระบุว่า การหัดคัดลายมือเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนการสอน ของโรงเรียนในประเทศอังกฤษช่วงศตวรรษที่ผ่านมาและคนอังกฤษก็มีวิธี การเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ เห็นได้จากเรื่องราวในช่วงสงครามครั้งที่สอง เมื่อทหารเยอรมันปลอมตัวเป็นทหารช่างอังกฤษและแอบเข้าประเทศอังกฤษ เพื่อสอดแนมโดยไปตั้งแคมป.ในต่างจังหวัดแต่โดนจับได้เนื่องจากชาวบ้าน เห็นทหารคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่เหมือนคนอังกฤษ
    สำนักข่าวบีบีซีสัมภาษณ์ มาร์ก บราวน์ ครูใหญ่ของโรงเรียนเซนต์แมรี่ ซึ่งเป็นโรงเรียนประถมคาทอลิกที่เมือง Axminster,Devon พบว่าโรงเรียนเอง ก็ได้เปลี่ยนวิธีการสอนจากที่เคยเน้นการคัดลายมือให้สวยงามเป็นระเบียบ มาเป็นการให้ความสำคัญต่อเนื้อหาสาระของการเขียนมากกว่า
    บราวน์ ระบุว่ายังมีการสอนให้เด็กหัดคัดลายมืออยู่และผู้ปกครองส่วนใหญ่อยากให้เป็นแบบเดียวกับสมัยของตัวเองแต่โรงเรียนก็ได้เปลี่ยนการให้ความ สำคัญ ซึ่งทำให้เด็กเขียนเนื้อหาได้ดีขึ้นแต่ลายมือแย่ลงเมื่อเทียบกับคนสมัยก่อน
    ฟลอเรย์ระบุว่า ความสำคัญของการเขียนและอ่านลายมือจะลดลงไปเรื่อยๆ ยกเว้นในวงการแพทย์เนื่องจากนายแพทย์ส่วนใหญ่ยังนิยมเขียน ด้วยมือในการวิเคราะห์โรค และใบสั่งยาแต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าลายมือของพวก หมออ่านยากที่สุดในโลกและบางครั้งก็เป็นต้นเหตุของการรักษาผิดพลาด
    ประเทศไทยเองก็เป็นปัญหาอยู่เห็นได้จากข่าวเมื่อเร็วๆนี้ที่มีการขลิบอวัยวะเพศเด็กชายทั้งที่เด็กไปที่คลินิกเพื่อผ่าตัดฝีในปาก
    สิ่งที่เชื่อกันว่าจะเป็นสาเหตุที่เร่งให้การเขียนด้วยมือและลายมือสูญพันธุ์เร็วยิ่ง ขึ้นคือพัฒนาการของโทรศัพท์มือถือซึ่งได้กลายเป็นเครื่องมือสื่อสาร สำหรับคน รุ่นใหม่และล่าสุดมีหนังสือขายดีในญี่ปุ่นเล่มหนึ่งชื่อ “ประสบการณ์ครั้งแรก” ของนักเรียนมัธยมญี่ปุ่นอายุ 22 ปีใช้นามปากกาว่า ยูมี-โฮตารุ ซึ่งแปลว่า หิ่งห้อยฝันเฟื่อง หนังสือเล่มนี้อาจจะเป็นหนังสือขายดีเล่มแรกของโลกที่เขียน ด้วยการกดปุ่ม
    สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่านายหิ่งห้อยฝันเฟื่องเขียนหนังสือทั้งเล่มบน โทรศัพท์มือถือซึ่งเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสังคมคนรุ่นใหม่ชาวญี่ปุ่นโดยเขียน เรื่องที่ละบรรทัดบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ที่มีอยู่หลายแห่งในญี่ปุ่น
    ความนิยมของนิยาย “ประสบการณ์ครั้งแรก” ทำให้สำนักพิมพ์ชื่อดังติดต่อนาย หิ่งห้อยฝันเฟื่อง เพื่อขอลิขสิทธิ์ไปตีพิมพ์และกลายเป็นหนังสือขายดีไปด้วย
    ชาวญี่ปุ่นเรียกนิยายบนโทรศัพท์มือถือนี้ว่า ไคไต โชเซ็ทสุ หรือบทประพันธ์บน โทรศัพท์มือถือเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เกิดขึ้นเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา นักเขียนส่วน ใหญ่เป็นวัยรุ่นหญิงและชายซึ่งเขียนเรื่องต่างๆ
    รวมทั้งประสบการณ์ตัวเอง บางเรื่องเป็นสิ่งที่ต้องปิดบังอำพราง อาทิ เรื่องความสัมพันธ์ทางเพศ การเสพยา การทำแท้ง เขียนบนโทรศัพท์มือถือและส่งไปที่เว็บไซต์ บทประพันธ์เหล่านี้ สามารถติดตามอ่านได้บนโทรศัพท์มือถือเป็นตอนๆ

    handwritting

    ความก้าวหน้าทางการสื่อสาร และปรากฏการณ์ทั้งหลายเหล่านี้มีส่วนสำคัญให้การเขียนหนังสือด้วยมือหดหายไปจากวัฒนธรรมคนรุ่นใหม่ ทำให้คนกลุ่มหนึ่ง ต้องกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง คนกลุ่มนี้ก็คือผู้ผลิตอุปกรณ์เครื่องเขียน
    มีรายงานว่ายอดการผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องเขียนยังขยายตัวอยู่แต่ สมาคมอุตสาหกรรมเครื่องเขียนในประเทศอเมริกาและประเทศต่างๆเริ่มไม่ แน่ใจในอนาคตของธุรกิจจึงจัดให้มีโครงการส่งเสริมการเขียนหนังสือขึ้นใน หลายประเทศโดยร่วมกับสมาคมการเขียน อาทิ สมาคมอุปกรณ์เครื่องเขียน ของอเมริกาสนับสนุนการจัดงาน วันแห่งการคัดลายมือขึ้นทุกๆวันที่ 23 มกราคมของทุกปี
    ในประเทศอังกฤษมีการจัดการแข่งขันการคัดลายมือในระดับประถมโดยหน่วย งานในอังกฤษที่มีชื่อว่า Support and Training inPrep Schools (SATIPS) โดยจัดขึ้นทุกปีเช่นกัน ในประเทศจีนและญี่ปุ่นเองก็เขียนตัวหนังสือเป็นศิลปะ ชนิดหนึ่งที่รัฐบาลสนับสนุนอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว

    อย่างไรก็ตามฟลอเรย์เขียนในหนังสือของเธอว่าในอนาคตลายมือของคนจะ เลวร้ายลงไปเป็นลำดับและในที่สุดก็จะกลายเป็นสิ่งอ่านยากเหมือนกับคัมภีร์ โบราณ และเป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญเหมือนกับในสมัยก่อนที่การเขียนหนังสือ ต้องอาศัยอาลักษณ์ที่ฝึกมาอย่างเชี่ยวชาญเท่านั้น

    ดาวน์โหลดแบบไม่ยั้ง ด้วย Internet Download Manager

     

    การดาวน์โหลดถือว่าเป็นการใช้งานอย่างหนึ่งที่ใช้กันมากในการเล่นอินเทอร์เน็ต และการดาวน์โหลดให้ได้เร็วที่สุดก็ถือเป็นความต้องการอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องการ โปรแกรมที่ออกมาเพื่อช่วยในการดาวน์โหลดนั้นก็ออกมาหลายโปรแกรมตั้งแต่สมัยแรกๆ ของการใช้อินเทอร์เน็ตอย่าง GetRight หรือ Download Accelerator Plus ก็ตาม ซึ่งทั้ง 2 โปแกรมก็ถือว่าเป็นโปรแกรมที่ดีทั้งคู่ เรียกว่าสามารถใช้งานได้อย่างไม่มีปัญหาและมีประสิทธิภาพอย่างดีเยี่ยมในการดาวน์โหลด
    อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า การพัฒนาก็ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะได้มีโปรแกรมน้องใหม่ไฟแรงออกมา ชื่อว่า Internet Download Manager ซึ่งก็มีการให้รางวัลกันอย่างมากมายในอินเทอร์เน็ตว่ามีความสามารถในการใช้งานเพื่อช่วยดาวน์โหลดได้ดีมากอีกโปรแกรมหนึ่ง และมีการวัดแล้วว่า เร็วกว่าโปรแกรมรุ่นพี่อีกต่างหาก อย่างนี้ก็ต้องมาดูกันแล้วว่า Internet Download Manager จะดีอย่างที่ได้ยินมาหรือเปล่า ?
    โปรแกรม Internet Download Manager สามารถหาดาวน์โหลดรุ่นทดลองใช้ได้จาก http://www.internetdownloadmanager.com/ มีขนาด 1.03 เมกะไบต์ เรียกว่าดาวน์โหลดไม่นานก็เสร็จ หลังจากดาวน์โหลดมาแล้วก็ติดตั้ง จากนั้นก็มาลองใช้งานกันเลยครับ

    วิธีการใช้งาน Internet Download Manager
    การใช้ Internet Download Manager เพื่อช่วยในการดาวน์โหลดนั้นทำได้หลายวิธีดังนี้
    วิธีที่ 1 ให้ป้อน URL ไปในโปรแกรมตรงๆ ซึ่งโดยปกติโปรแกรมจะเปิดแล้วจะไปอยู่ที่ซิสเต็มเทรย์อยู่แล้ว ให้คลิ้กขวาที่ไอคอนของโปรแกรมที่ซิสเต็มเทรย์แล้วเลือก Restore ดังรูปที่ 1

    รูปที่ 1

    รูปที่ 2

    จากนั้นโปรแกรมจะขึ้นหน้าต่างขึ้นมา ที่ตรงนี้จะเป็นหน้าหลักของโปรแกรม ให้ไปที่เมนู url - Add new url ดังรูปที่ 2
    จะมีหน้าต่างขึ้นมาให้พิมพ์ URL ของไฟล์ที่จะดาวน์โหลดลงไป ดังรูปที่ 3

    รูปที่ 3

    วิธีที่ 2 ใช้ drop target

    รูปที่ 4

    drop target จะเป็นที่อยู่ของหน้าต่างเล็กๆ ที่เราสามารถแดร็กลิงก์ของไฟล์ที่จะดาวน์โหลดมาวางไว้บนหน้าต่างนี้ก็จะเป็นการเรียกให้ดาวน์โหลดโดย Internet Download Manager วิธีการเรียก drop target ก็ให้คลิ้กขวาที่ไอคอนของโปรแกรมที่ซิสเต็มเทรย์แล้วเลือก Show drop target ดังรูปที่ 4
    วิธีที่ 3 ให้โปรแกรมเข้าไปคอยตรวจสอบข้อมูลที่ถูกก๊อบปี้ไปเก็บไว้ในคลิ้ปบอร์ด

    รูปที่ 5

    วิธีการนี้โปรแกรมจะไปคอยตรวจสอบข้อมูลที่ถูกก๊อบปี้ไปเก็บไว้ในคลิ้ปบอร์ด แล้วถ้าเป็นลิงก์ไปยังไฟล์ที่จะดาวน์โหลด โปรแกรมก็จะทำการดาวน์โหลดไฟล์ให้ทันที มีขั้นตอนให้ทำดังนี้

  • เปิดโปรแกรมขึ้นมาโดยคลิ้กขวาที่ไอคอนของโปรแกรมที่ซิสเต็มเทรย์แล้วเลือก Restore แล้วไปที่เมนู Downloads - Options คลิ้กที่แท็บ General แล้วคลิ้กเลือก Automatical start downloading of URLs place to clipboard เสร็จแล้วคลิ้ก OK ดังรูปที่ 5
  • ไปที่หน้าเว็บเพจที่มีลิงก์ที่เราจะดาวน์โหลด คลิ้กขวาที่ลิงก์ที่เราต้องการจะดาวน์โหลดแล้วเลือก Copy link (ข้อความอาจไม่เหมือนกันขึ้นกับบราวเซอร์)
    วิธี 4 เข้าไปแทนการดาวน์โหลดไฟล์ผ่านทางบราวเซอร์

    วิธีนี้โปรแกรมจะเข้าไปจัดการดาวน์โหลดไฟล์แทนบราวเซอร์ เพียงคลิ้กเพื่อที่จะดาวน์โหลดตามปกติ Internet Download Manager ก็จะเข้าไปดาวน์โหลดแทนบราวเซอร์ ขั้นตอนให้ทำดังนี้

  • เปิดโปรแกรมขึ้นมาโดยคลิ้กขวาที่ไอคอนของโปรแกรมที่ซิสเต็มเทรย์แล้วเลือก Restore แล้วไปที่เมนู Downloads - Options คลิ้กที่แท็บ General แล้วคลิ้กเลือกที่
    Integrate into Internet explorer ...

    รูปที่ 6

    Integrate into Netscape 4.x
    (ถ้าคุณใช้ Netscape เวอร์ชัน 4)
    Integrate into Netscape 6.x
    (ถ้าคุณใช้ Netscape เวอร์ชัน 6)
    Integrate into Netscape 7.x
    (ถ้าคุณใช้ Netscape เวอร์ชัน 7)
    Integrate into Mozilla
    (ถ้าคุณใช้ Mozilla)
    Integrate into Opera
    (ถ้าคุณใช้ Opera)

  • เสร็จแล้วคลิ้ก OK ดังรูปที่ 6
    ทีนี้ทุกครั้งที่เราคลิ้กที่จะดาวน์โหลดโปรแกรม Internet Download Manager ก็จะเข้ามาจัดการกับการดาวน์โหลดแทนบราวเซอร์
    หลังจากได้ URL ของไฟล์ที่จะดาวน์โหลดแล้ว Internet Download Manager จะถามว่าต้องการการจะเก็บไว้ที่ไหน ซึ่งโปรแกรมจะแยกประเภทของไฟล์ไว้ในโฟลเดอร์ download ใน My Documents เลือกที่เก็บที่ต้องการแล้วกด Start Download เพื่อสั่งให้ดาวน์โหลดทันที ดังรูปที่ 7

    รูปที่ 7

    โปรแกรมจะขึ้นหน้าต่างโปรแกรมที่ใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์ขึ้นมา ซึ่งในการดาวน์โหลดนั้นบางครั้งก็จะมีการหลุดบ้าง ดังนั้น การดาวน์โหลดต่อจึงเป็นคุณสมบัติหนึ่งที่จำเป็นสำหรับการดาวน์โหลด เพราะถ้าเลือกได้ก็คงไม่มีใครอยากเริ่มต้นดาวน์โหลดใหม่อีกครั้งหรอก ใช่มั้ยครับ? แต่สำหรับโปรแกรมตัวนี้ เราสามารถทำการดาวน์โหลดต่อได้เลย ซึ่งการดาวน์โหลดต่อนั้น เราสามารถทำการหยุดหรือดาวน์โหลดต่อไปด้วยการกดปุ่ม Pause/ Start ตามลำดับ ดังรูปที่ 8

    รูปที่ 8

  • บันทึกไฟล์ Flash เก็บเอาไว้ง่ายนิดเดียว

     

    ปกติแล้วเวลาที่ไปเจอเว็บเพจที่สร้างด้วย Macromedia Flash แล้วต้องการจะบันทึกไฟล์เอนิเมชัน Flash เก็บเอาไว้จะทำอย่างไรดี...มาดูกัน

     

    ปกติแล้วเวลาที่ไปเจอเว็บเพจที่สร้างด้วย Macromedia Flash แล้วต้องการจะบันทึกไฟล์เอนิเมชัน Flash เก็บเอาไว้จะทำอย่างไรดี...มาดูกัน
    บางท่านอาจบอกว่าก็ไปค้นหาได้จากโฟลเดอร์ Temporary Internet Files ไง โอ๊ย! ไม่ต้องยุ่งยากอะไรขนาดนั้น ติดตั้งโปรแกรม FlashCapture เวอร์ชัน 1.1 สามารถดาวน์โหลดได้จาก http//www.flashcapture.com/download/FLASHCAP.ZIP ด้วยขนาดไฟล์ 670 กิโลไบต์ที่สามารถทดลองใช้งานได้ 30 วัน จากนั้นก็ติดตั้งโปรแกรม FlashCapture แล้วทำตามขั้นตอนดังนี้...

    ขั้นตอนที่ 1
    เปิดหน้าต่างเว็บบราวเซอร์ไออีขึ้นมา แล้วไปยังเว็บไซต์หรือเว็บเพจที่ต้องการบันทึกไฟล์ Flash เอนิเมชัน จากนั้นก็รอโหลดเว็บเพจและเอนิเมชัน Flash ขึ้นมาจนครบถ้วน

    ขั้นตอนที่ 2
    เลือกการบันทึกไฟล์สามารถทำได้ 3 วิธี ได้แก่วิธีที่ 1 บันทึกด้วย Flash Toolbar โดยการนำเมาส์ไปวางเหนือเอนิเมชัน Flash จะแสดงป็อป-อัพทูลบาร์ขึ้นมาให้เลือกบันทึกไฟล์ Flash โดยประกอบไปด้วยไอคอน

    << เลือกไอคอนแรก(จากทางซ้ายไปขวา) เพื่อบันทึกและจัดการเรื่องไฟล์ Flash

    << เลือกไอคอนที่สอง เพื่อส่งไฟล์ Flash ไปให้เพื่อนๆ

    << เลือกไอคอนที่สาม เพื่อจับภาพ Flash, เลือกตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม FlashCapture)

    ขั้นตอนที่ 3
    การบันทึกวิธีที่ 2 เป็นการบันทึกจาก Flash Context Menu โดยการคลิกเมาส์ขวาลงบนเอนิเมชัน Flash จากนั้นจะแสดงรายการเมนูดังนี้...

  • เลือกรายการ Save Flash As... เพื่อบันทึกและจัดการไฟล์ flash
  • เลือกรายการ Save Flash Into เพื่อบันทึกไฟล์ flash ลงไปในแคตาล็อก
  • เลือกรายการ Send Flash To... เพื่อส่งไฟล์ flash ไปให้เพื่อน
  • เลือกรายการ Snapshot To... เพื่อจับภาพหน้าจอ flash
  • เลือกรายการ Disable/Enable Flash Toolbar ยกเลิกหรือให้แสดง Flash Toolbar
  • เลือกรายการ About FlashCapture...ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรม FlashCapture
  • ขั้นตอนที่ 4
    คลิ้กที่ทูลบาร์ FlashCapture บนหน้าต่างไออี เพื่อ ค้นหาไฟล์ Flash จากแคชขึ้นมาแสดง(คลิกเลือกออปชัน Browse All Cached Items) โดยจะแสดงไฟล์ Flash ที่ใช้แสดงในเพจซึ่งผู้ใช้งานสามารถเลือกบันทึกไฟล์ Flash ทุกไฟล์หรือบางไฟล์ก็ได้

    ขั้นตอนที่ 5
    มาทดลองบันทึกไฟล์ Flash กันโดยใช้เมาส์ไปวางลงบนพื้นที่แสดงเอนิเมชัน Flash แล้วไปคลิกปุ่ม

    5 ก.ย. 2552

    Download: ฟรีแวร์ตัดต่อวิดีโอไฮเดฟฯ

     

    เนื่องจากมีคุณผู้อ่านหลายท่านสอบถามทีมงานเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ที่ใช้ตัดต่อวิดีโอไฮเดฟฯ โดยระบุว่า ต้องการที่ใช้ง่าย และเป็นของฟรี ซึ่งถ้าจะว่าไปมันก็มีหลายตัวให้เลือกอยู่เหมือนกัน แต่พอมองไปมองมา ก็เลือกเอาที่ใกล้ตัวมาแนะนำคุณผู้อ่านดีกว่า นั่นก็คือ Windows Live Movie Maker ครับผม

    ผู้ใช้ Windows หลายท่านอาจจะไม่ทราบว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้อยู่มีซอฟต์แวร์ตัดต่อวิดีโอที่ใช้งานได้อยู่ด้วย นั่นก็คือ Windows Movie Maker แต่สำหรับผู้ใช้ที่ได้มีโอกาสใช้งานแอพฯฟรีตัวนี้ ต่างก็บ่นกันเป็นเสียงเดียวว่า ฟังก์ชันการทำงานของมัน "เบสิค" เหลือเกิน แต่ก็อย่างว่า ของฟรีนี่นา...จะให้ดีเหมือนของซื้อขายได้อย่างไรจริงมั้ย?

    แต่เดี๋ยวก่อน นี่ผมกำลังจะแนะนำให้ใช้ หรือซ้ำเติมให้ช้ำกันแน่ละเนี่ย เรื่องของเรื่องก็คือ Windows Movie Maker นอกจากจะมีข้อจำกัดในเรื่องของฟังก์ชันการตัดต่อแล้ว มันยังมีตัวเลือกสำหรับเอาต์พุทที่ค่อนข้างจำกัดด้วย โดยมีแค่ไฟล์ AVI และ CD เท่านั้น แต่กลับไม่มีตัวเลือกสำหรับทำ DVD? ข่าวดีก็คือ ล่าสุดไมโครซอฟท์ได้เปิดตัว Windows Live Movie Maker ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันการทำงานใหม่ๆ ที่น่าสนใจอีกเพียบ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเอาต์พุท DVD แล้ว มันยังมีฟังก์ชันนำเข้าไฟล์จาก PhotoGallery เพื่อสร้างวิดีโอได้ทันที หรือจะโพสต์คลิปขึ้น YouTube สนับสนุนวิดีโอแบบไฮเดฟฯ (HD Support) ตลอดจนการนำเข้าข้อมูลจากพีซี และกล้องถ่ายวิดีโอที่ได้รับการปรับปรุงให้ใช้งานได้ดีขึ้น รวมถึงทรานสิชั่น และเอฟเฟ็กต์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้นมา แถมยังมีโหมด "Auto Movie" ที่ช่วยให้สร้างสรรค์ผลงานวิดีโอได้ง่ายขึ้น และการแก้ไขข้อมูลเสียง (Audio) เอาเป็นว่า ลองดาวน์โหลดมาใช้ดูก็แล้วกันนะครับ แล้วว่างๆ ทีมงานจะรีวิวรายละเอียดการใช้ให้คุณผู้อ่านได้ติดตามกันอีกทีครับ อ้อ...ลืมบอกประเด็นสำคัญไปเรื่องหนึ่งครับ นั่นคือ Windows Live Movie Maker ใช้ได้กับเฉพาะ Windows Vista และ Windows 7 เท่านั้น...คนใช้ XP เซ็งเลย!!!

    Firefox: เล่น YouTube แล้วติดๆ ขัดๆ

    Firefox 3.5 ส่งผลกระทบให้การโหลดคลิปวิดีโอของ YouTube (รวมถึงเว็บวิดีโอที่อื่นๆ หรือแม้แต่การเปิดทำงานหลายแท็บ) เนื่องจากที่ดีฟอลต์ของการทำงาน Firefox จะมีการเก็บข้อมูล (session) การใช้งานทุกๆ 10 วินาที แล้วมันทำอย่างนั้นทำไมใช่ไหมครับ คำตอบก็คือ ไฟร์ฟอกซ์จะเก็บข้อมูลการใช้งานไว้ เพื่อเรียกคืน (restore) ให้กับผู้ใช้ในกรณีที่มีการล่มการทำงานของบราวเซอร์ ซึ่งลักษณะการทำงานดังกล่าวนี้เองที่ทำให้วิดีโอที่เล่นมีอาการชักกระตุกหยุดชะงัก ทุกๆ 10 วินาที เพื่อรอให้ไฟร์ฟอกซ์ทำภารกิจดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยเสียก่อน (สำหรับเครื่องแรงๆ อาจจะไม่ทันสังเกต) ด้วยความที่มันขยันมากนี่เอง ทำให้ผู้ใช้ Firefox 3.5 หลายคนรู้สึกไม่แฮปปี้เวลาใช้ไฟร์ฟอกซ์ดูคลิปบน YouTube หรือเว็บวิดีโอเจ้าอื่นๆ รวมถึงกรณีที่เปิดหลายๆ แท็บทำงาน ไฟร์ฟอกซ์ก็จะต้องเก็บข้อมูลทุกแท็บว่า มันอยู่ในสภาวะใด ยิ่งมากก็ยิ่งอืด และเป็นบ่อย เพราะมันทำทุกๆ 10 วินาที

    เอาล่ะ สาธยายปัญหามาเสียยาวยืด มาดูวิธีแก้กันดีกว่า ทางแก้ก็คือ ยืดเวลาในการเก็บข้อมูลที่ว่านี้ให้นานขึ้น โดยเข้าไปตั้งค่าเวลาเก็บ session ให้ยาวออกไป ซึ่งขัั้นตอนมีดังนี้

    1. พิมพ์คำสั่ง about:config ในช่อง address ของ Firefox แล้วกด Enter
    2. ในช่อง"ตัวกรอง"(Filter) พิมพ์ browser.sessionstore.interval
    3. ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการดังกล่าว แล้วแก้ค่าเวลา (หน่วยเป็นมิลลิวินาที) จาก 10000 เป็น 300000 หรือเปลี่ยนจาก 10 วินาทีเป็นทุกๆ 5 นาทีแทน หรือมากกว่านี้ก็ได้ ถ้าคุณไม่แคร์เรื่องบราวเซอร์ล่ม

    หลังจากแก้ไขเสร็จแล้ว รีสตาร์ท Firefox ขึ้นมาใหม่ คราวนี้มันก็จะคอยเก็บข้อมูลการใช้งานทุกๆ 5 นาที วิดีโอที่ดู หรืออาการนิ่งๆ จนคิดว่ามันแฮงก์บ่อยๆ ก็จะหายไปแล้วล่ะครับ

    2 ก.ย. 2552

    7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7

     

    เรื่องที่ฮอทที่สุดของไมโครซอฟท์ในเวลานี้ซึ่งจะเป็นเรื่องอะไรไปไม่ได้นอกจากเรื่อง ที่จะวางตลาด Windows 7 อย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้

    วันนี้เราได้นำ 7 ทิปส์เด็ดๆ ของ Windows 7 มาเรียกน้ำย่อยกันก่อน ไปดูกันเลย

    1. สลับเปลี่ยนไปยังหน้าต่างที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย

    ในกรณีที่ผู้ใช้งานเปิดไฟล์จำนวนหลายๆ ไฟล์จากโปรแกรมเดียวกัน อย่างเช่น โปรแกรมไมโครซอฟท์ เวิร์ด วินโดวส์ 7 จะช่วยให้คุณสับเปลี่ยนระหว่างหน้าต่างได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น เพียงแค่กดปุ่ม Ctrl ในขณะคลิกที่ไอคอนบนทาสก์บาร์ หน้าต่างก็จะเปลี่ยนเป็นหน้าต่างถัดไป โดยคุณสามารถเลือกเปิดหน้าต่างที่คุณต้องการได้

    2. กำหนดขนาดของหน้าต่างตามความต้องการของผู้ใช้งาน

    วินโดวส์ 7 ช่วยให้การจัดการเอกสารและโปรแกรมต่างๆทำได้ง่ายขึ้น โดยผู้ใช้งานสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยการเลือกคลิกเมาส์ หรือ ใช้แป้นพิมพ์  หากต้องการขยายหน้าต่างให้มีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปชนกับหน้าจอทางด้านซ้าย หรือ ขวา และหน้าต่างนั้นก็จะมีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของหน้าจอทันที ในกรณีที่ต้องการขยายขนาดของหน้าต่างนั้นให้เต็มหน้าจอ ผู้ใช้งานเพียงแค่ลากหน้าต่างไปด้านบนของจอเพื่อขยายหน้าต่างให้เต็มจอ หรือ ดับเบิ้ล คลิก ที่มุมด้านบน หรือด้านล่างของหน้าต่างเพื่อปรับเปลี่ยนขนาดของหน้าต่าง ในขณะที่หน้าต่างนั้นยังมีความกว้างเท่าเดิม

    ผู้ใช้งานยังสามารถกำหนดขนาดของหน้าต่างได้โดยใช้แป้นพิมพ์ ดังต่อไปนี้

    windows 7 + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + ลูกศรขวา เพื่อขยายหน้าต่างให้มีขนาดครึ่งหนึ่งของหน้าจอ

    windows 7 + ลูกศรบน และ windows 7 + ลูกศรล่าง เพื่อขยายและลดขนาดของหน้าต่าง

    windows 7 + Shift +ลูกศรบน และ windows 7 + Shift + ลูกศรล่าง เพื่อขยายหน้าจอ หรือ ปรับหน้าจอให้มีขนาดเท่าเดิม

    3. เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายๆ

    เพียงแค่เชื่อมต่อกับเครื่องโปรเจคเตอร์ ผู้ใช้งานก็จะสามารถแสดงข้อมูลที่ต้องการบนโปรเจคเตอร์ได้อย่างง่ายดายด้วยปลายนิ้วเพียงแค่มีไดรเวอร์ของวินโดวส์ 7 อย่าง displayswitch.exe เมื่อผู้ใช้งานกดปุ่ม windows 7 + P หน้าต่างในการควบคุมโปรเจคเตอร์ก็จะปรากฏขึ้นมาโดยทันที

    windows 7

    เมื่อเลื่อนลูกศร หรือ กดปุ่ม windows 7 + P ผู้ใช้งานจะสามารถเลือกรูปแบบการทำงานที่ต้องการได้ อาทิ clone, extend หรือ external only

    4. จัดการกับการแสดงผลบนจอมอนิเตอร์อย่างมีประสิทธิภาพ

    วินโดวส์ 7 ช่วยให้การทำงานกับจอมอนิเตอร์หลายมอนิเตอร์มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น ในกรณีที่ผู้ใช้งานจำเป็นที่จะต้องทำงานกับจอมอนิเตอร์มากกว่าหนึ่งจอ ผู้ใช้งานสามารถใช้คีย์บอร์ด windows 7 + Shift + ลูกศรซ้าย และ windows 7 + Shift + ลูกศรขวา ในการสลับการแสดงผลระหว่างจอมอนิเตอร์ได้

    5. แอบดูเดสก์ท็อปได้ด้วย Aero Peek

    เครื่องมือที่มีประโยชน์มากในวินโดวส์ 7 ที่คนทั่วไปอาจจะยังไม่รู้จักกันนักก็คือ Windows® Aero® Feature ที่เรียกว่า Aero Peek โดยผู้ใช้งานเพียงแค่คลิกที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ามุมล่างขวามือของทาสก์บาร์ จากนั้นหน้าเดสก์ท็อปก็จะปรากฏขึ้น นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าวได้โดยใช้ปุ่ม windows 7 + Space

    windows 7

    6. หมดปัญหากับเรื่องยุ่งยากด้วย Aero shake

    วินโดวส์ 7 ช่วยขจัดความวุ่นวายของการเปิดหน้าต่างหลายๆ หน้าต่างภายในเวลาเดียวกันนอกเหนือไปจากหน้าต่างที่คุณกำลังทำงานอยู่ได้ เพียงแค่จับที่ด้านบนของหน้าต่างที่คุณต้องการทำงานแล้วเขย่าไปมา หรือกดปุ่ม windows 7 + Home ผู้ใช้งานก็จะสามารถลดขนาดของหน้าต่างอื่นๆที่ไม่ได้ใช้งานลงได้ทันที หากผู้ใช้งานต้องการให้หน้าต่างกลับมามีขนาดเท่าเดิมก็สามารถทำได้เพียงเขย่าหน้าต่างที่ทำงานอยู่ หรือแค่กดปุ่ม windows 7 + Home อีกครั้ง

    7. ใช้ Help Desk จัดการปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ

    การแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับคอมพิวเตอร์อาจเป็นเรื่องยุ่งยากทั้งกับผู้ใช้งานและ Help Desk นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ วินโดวส์ 7 หาแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย Problem Steps Recorder เครื่องมือที่จะช่วยให้ผู้ใช้งานบันทึกปัญหาที่พวกเขาพบในแต่ละขั้นตอนได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คลิกที่เมนู record จากนั้นจึงเพิ่มข้อคิดเห็นที่ต้องการลงไป ไฟล์ HTML ดังกล่าวก็จะเปลี่ยนเป็นไฟล์ .ZIP ในทันที ซึ่งจะช่วยให้การส่งต่อไปยัง Help Desk ทำได้ง่ายขึ้น ผู้ใช้งานสามารถเข้าไปที่เมนูดังกล่าวได้จาก Control Panel  ภายใต้คำสั่ง ‘Record steps to reproduce a problem’ หรือ เปิดโปรแกรม psr.exe จาก Explorer

    ข้อมูลจาก : Microsoft Media Newsletter