14 ต.ค. 2552

ชีวิตที่ไม่มีคำว่า Google

คิดว่าถ้าชีวิตนี้ไม่มีกูเกิ้ลจะอยู่ได้ไหม?.. ไม่เตรียมตัวไว้ก่อน วันดีคืนดีบริษัทนี้เกิดลาโลกไป หรือเกิดคิดค่าบริการขึ้นมาล่ะ ลำบากแน่ ลองดูทางเลือกอื่นที่อาจจะแทนกันได้ หรือทำงานเสริมกัน ช่วยให้เรายังมีแสงนำทางในโลกอันสับสนของอินเทอร์เน็ต

แน่นอนว่ากูเกิ้ลไม่ได้เป็นเจ้าของอินเทอร์เน็ต แต่มันก็ผูกตัวเองติดเข้าไปได้อย่างเหนียวแน่นพอดู ไม่เชื่อหรือครับ ลองคิดว่าจะหาข้อมูลเกี่ยวกับ “หมอนขนเป็ด” ดูซิ ทำยังไงก็ได้แต่ห้ามใช้กูเกิ้ลคันมืออยากเข้ากูเกิ้ลใช่ไหมล่ะ.. ไม่แปลกหรอกครับ คนส่วนใหญ่ของโลกก็มีอาการแบบนี้ รวมถึงผมด้วย

กูเกิ้ลมีส่วนแบ่งการตลาดในโลกของเสิร์ชเอนจิ้นค่อนข้างสูง อยู่ในช่วง 40 ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ตัวเลขจริงๆ อาจจะเปลี่ยนไปมา ขึ้นอยู่กับว่าคุณไปถามข้อมูลจากใคร แต่ก็หนีไม่พ้นช่วงนี้ ปัจจัยหลักที่ทำให้มันประสบความสำเร็จก็มาจากระบบอินเทอร์เฟชที่เข้าใจง่าย แถมการค้นหาก็เร็วทันใจ ได้ผลเข้าเป้า

จริงๆ แล้วในโลกเสิร์ชเอนจิ้นยังมีเจ้าตลาดมือรองอีก 2 หน่วย คือ MSN กับ Yahoo! ถ้ารวมส่วนแบ่งของ 3 เจ้านี้เข้าด้วยกัน ก็จะกินไปกว่า 90 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ฟังดูโลกนี้มันผูกขาดๆ ยังไงชอบกล ถ้า 3 เจ้านี้รวมหัวกันทำตัวเป็นสื่อขายของหรือคิดว่าบริการ พวกเราคงดิ้นไม่หลุด

ถามจริงๆ คุณไม่อยากลองเสิร์ชเอนจิ้นอื่นบ้างเหรอ แน่ใจหรือว่าสิ่งที่กูเกิ้ลบอกเรามาคือภาพสะท้อนตัวตนที่แท้จริงของอินเทอร์เน็ต แน่ใจหรือว่ามันคือ ข้อมูลในเน็ตจริงๆ หรือมันไปหยิบเอาเว็บไซต์แค่กระจุกเดียวมาป้อนเราอยู่ทุกวัน แนวคิดเริ่มเหมือน The Matrix… “แน่ใจได้ยังไงว่าเนื้อไก่มีรสชาติอย่างที่เรารับรู้ เพราะ The Matrix เป็นคนป้อนรสชาตินั้นให้เรา”

แล้วก็เป็นอย่างงั้นจริงๆ ครับกูเกิ้ลมีโมเดลการสะท้อนภาพอินเทอร์เน็ตในลักษณะเฉพาะตัวอย่างหนึ่ง คือมีพื้นฐานอยู่บนสถิติความนิยม ดังนั้นเมื่อเราค้นหาโดยกูเกิ้ลสิ่งที่เราจะได้ ก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่บนอินเทอร์เน็ตชอบ เป็นกลุ่มเว็บที่มีคนย่ำซ้ำแล้วซ้ำอีกในที่เดิมๆ ของใหม่ๆ แทบไม่มีโอกาสโผล่เข้ามาได้เลย

ได้เวลาเปิดตา ดูทางเลือกอื่นๆ กันเถอะพี่น้อง

1. Technorati

technorati.com

สมัยนี้ข้อมูลอะไรๆ คนเราก็เอาขึ้น Blog ดังนั้นถ้าจะบอกว่าเสิร์ชเอนจิ้นตัวไหนที่ไม่ครอบคลุมการค้นหาเข้าไปใน Blog ด้วยละก็ ต้องบอกว่าพลาดข้อมูลของโลกไปก้อนใหญ่มากๆ เชื่อไหมครับว่ากูเกิ้ลก็ติดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่ากูเกิ้ลนั้นให้น้ำหนักไปกับความนิยมเป็นหลัก นั่นหมายความว่า กว่าข้อมูลใน Blog กว่าจะไต่ขึ้นไปติดอันดับในกูเกิ้ลได้ ก็ต้องมีคนเข้ามาดูจนพรุนไปแล้ว นั่นก็แปลว่า ข้อมูลจะต้องเก่าระดับหนึ่งแล้ว ซึ่งไม่ใช่จุดแข็งของ Blog ที่เน้นความสดใหม่ทันต่อเหตุการณ์

ลองดูทางเลือกอื่นที่จะแก้ปัญหานี้ของกูเกิ้ลกันเสิร์ชเอนจิ้นที่จะแนะนำมีชื่อว่า Technorati เป็นบริการที่เอาไว้ค้นหา Blog โดยเฉพาะ มีฟีเจอร์มากมายที่ช่วยเราค้นหา Blog เป็นหลัก เช่น มี Top Search List ซึ่งจะแสดงการค้นหาบล็อกตามความนิยมที่มีคนลิงก์เข้ามาหามากที่สุด (ต่างกับกูเกิ้ลนะครับ เพราะไม่ได้เน้นความนิยมที่ตัวข้อมูล แต่เป็นความนิยมของ Blog) โดยสามารถจัดอันดับความนิยมตามประเภทการลิงค์ได้เช่นเป็น เพลง หนัง หรือเกม ซึ่งนักเขียน Blog มักจะลิงค์หากัน วิธีใช้ก็ง่ายๆ ข้อมูลที่ได้ก็ทันสมัย เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้ค้นหาเน้นความใหม่ หรือเน้นตามความนิยม โดยวัดจากจำนวนเว็บเพจที่ลิงค์เข้ามาหา

2. ChaCha

chacha.com

ถ้าป้อนคำสั่งค้นหากันเองในเสิร์ชเอนจิ้นแล้วพบว่ามืดแปดด้านยังคงหาอะไรไม่เจอ ลองอันนี้ดูครับ ChaCha เป็นที่ปรึกษาด้านการค้นหาโดยเฉพาะ โดยเราสามารถคุย (Chat) ได้สดๆ กับนักค้นหามืออาชีพ ซึ่งจะรับคำร้องของเรา แล้วจะปรับแต่งผลลัพธ์ให้ได้กับที่เราต้องการ ต้องลองดูครับ อันนี้เป็นบริการฟรี ไม่มีอะไรทำก็ลองเล่นดูเอาขำ

3. Rollyo

rollyo.com

บริการนี้มาจากคำเต็มๆ ว่า Roll your own Search Engine แปลเป็นไทยได้ว่า สร้างเสิร์ชเอนจิ้นของตัวเอง บริการของมันก็เป็นอย่างที่ชื่อพยายามจะบอกล่ะครับ แบบง่ายๆ เลย เราสามารถใช้มันเป็นเสิร์ชเอนจิ้นธรรมดา คือค้นหา Blog หรือค้นหาเว็บทั่วไปได้ แค่จุดเด่นของมันจริงๆ คือ เราสามารถสร้างเสิร์ชเอนจิ้นของตัวเองหรือ Searchroll เพื่อเน้นการค้นหาไปเฉพาะบางไซท์เป็นพิเศษได้ เช่น เราอาจจะสร้าง Searchroll เพื่อค้นหาเฉพาะ Blog ด้านเพลงที่เราชอบ เราสามารถเข้าไปดู Searchroll ของคนอื่น ประมาณว่าเพื่อก็อปปี้ไอเดียมาใช้บ้าง ซึ่งรวมไปถึง Searchroll ของคนดังๆ จะได้เข้าถึงรสนิยมของไอดอลของลึกซื้ง สำหรับตัวผมเองนั้นไม่ค่อยมีความต้องการจะสร้าง Searchroll เพื่อจำกัดวงในการค้นหาเท่าไหร่ แต่ถ้าคุณมีปัญหาด้านนี้อยู่ ลองใช้ Rollyo ดูครับ ไม่ผิดหวัง

4. Kosmix

http://www.kosmix.com/

เอนจิ้นตัวนี้จะเน้นการค้นหาแบบแยกประเภทหัวข้อโดยเฉพาะเช่น เรื่องสุขภาพ รถยนต์ ท่องเที่ยว การเงิน การเมือง และเกมเป็นเรื่องๆ ไป สำหรับผลการค้นหา ถ้าจะเอาเรื่องเวลาเป็นที่ตั้งเสิร์ชเอนจิ้นตัวนี้ทำได้ไม่ค่อยดี คือได้ข้อมูลที่ไม่ใหม่นัก แนะนำว่าในการค้นหาควรจะใช้คำเฉพาะ แทนที่จะใช้คำกว้างๆ อย่าง “Global Warming” จริงๆ แล้วมีบริการค้นหาแบบที่ต้องจ่ายเงินด้วย ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า แต่เข้าใจว่าพวกเราคงไม่สนใจบริการลักษณะนี้ ดังนั้นในการใช้งานจึงควรใช้ค้นหาข้อมูลที่ไม่มีเรื่องเวลามาเกี่ยวข้อง และก็เน้นคำเฉพาะๆ ไปเลย จากตัวอย่างการใช้งาน เช่น ค้นหาด้านสุขภาพ ก็พบว่าได้ข้อมูลดีๆ ด้านการรักษา การป้องกันมาเพียบ (มีข้อมูลเบื้องลึกมาเล่านิดหน่อยครับ ปัจจุบันบริษัท Ziff Davis ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของพีซีแม็กอินเตอร์ กำลังตกลงกับ Kosmix เพื่อเอาเอนจิ้นค้นหามาใช้ในข้อมูลแผนกเกมของบริษัทอยู่)

5. Ask.com

www.ask.com

Search Engine ตัวนี้เป็นเครื่องมือค้นหาอีกตัวที่ค่อนข้างมีฟีเจอร์หรูหรา แนวคิดของมันคือ เน้นที่ด้านการจัดอันดับ คือแทนที่จะจัดอันดับตามความนิยมอย่างเดียว แบบที่กูเกิ้ลทำ มันจะจัดอันดับตามความนิยมเหมือนกัน แต่เป็นความนิยมในหมู่หัวข้อเดียวกันเท่านั้น ไม่ได้ไปปนรวมๆ เหมือนกูเกิ้ลจากการทดสอบก็พบว่า ผลการค้นหานั้นมีการจัดเรียงผลต่างจากของกูเกิ้ลออกไป นอกจากนั้นยังมีฟีเจอร์ Page Preview ซึ่งค่อนข้างดี เพราะให้เราเห็นของก่อนจะกดเข้าไปดูจริง

สร้างอีเมล์เซิร์ฟเวอร์เองในองค์กร ยากไหม

 

ทความที่เราเคยเขียนเกี่ยวกับการเอาต์ซอร์สอีเมล์หรือการจ้างผู้อื่นดูแลจัดการอีเมล์ให้แทนที่จะดูแลเอง ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางถึงการผลักภาระในการจัดการอีเมล์ที่น่าปวดหัวไปให้ผู้อื่นรับผิดชอบแทน อย่างไรก็ตาม มีเหตุผลหลายประการที่คุณควรจะรับภาระจัดการอีเมล์เอง (ยอมปวดหัว) เหตุผลหนึ่งก็คือเหตุผลทางด้านเทคนิค แต่ประเด็นที่สำคัญที่คุณต้องคิดให้ดีก็คือความสบายใจของคุณเองที่จะให้คนอื่นดูแลจัดการแทนคุณ ถ้าหากคุณใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือหลักในการทำธุรกิจ คงไม่ค่อยดีนักถ้าจะให้คนอื่นดูแลอีเมล์ของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่คุณเองก็มีทรัพยากรพร้อมที่จะจัดการเองได้

Infinite InterChange มีอินเทอร์เฟซสำหรับบริหารระบบแบบง่ายๆ และมีการมอนิเตอร์การล็อกเข้าสู่ระบบและปริมาณข้อความแบบเรียลไทม์ เนื่องจากไม่มีเว็บอินเทอร์เฟซสำหรับผู้ดูแลระบบ ผู้ดูแลระบบจึงต้องทำงานต่างๆ บนเซิร์ฟเวอร์โดยตรงเท่านั้น

Infinite InterChange มีความสามารถเฉพาะตัวตรงที่สามารถทำงานเป็นเมล์เซิร์ฟเวอร์เดี่ยวๆ หรือเป็นเกตเวย์สำหรับเมล์เซิร์ฟเวอร์อื่นๆ ก็ได้ แต่ละยูสเซอร์แอดเดรสสามารถจะระบุอีเมล์แอดเดรสภายนอกได้ เมื่อผู้ใช้เชื่อมต่อเข้ากับ Infinite InterChange เซิร์ฟเวอร์ เซิร์ฟเวอร์ก็จะเชื่อมต่อเข้ากับเมล์เซิร์ฟเวอร์ภายนอกของผู้ใช้พร้อมกับดึงข้อความใหม่เข้ามาไว้ในเมล์บ็อกซ์ของ Infinite InterChange อัตโนมัติ ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้สามารถตรวจสอบอีเมล์หลายๆ แอ็กเคานต์ได้ในทีเดียว นอกจากนี้ Infinite InterChange ยังมีเว็บอินเทอร์เฟซสำหรับ POP และ IMAP ด้วย

ผู้ดูแลระบบ (เท่านั้น) สามารถสร้างกฎในการจัดการข้อความเพื่อใช้จัดการกับข้อความที่ถูกส่งเข้ามาในระบบอัตโนมัติและยังสามารถใช้เพื่อต่อต้านสแปมได้โดยคุณสามารถตั้งกฎให้ระบบเฝ้าดูข้อความที่ส่งหรือรับมาจากยูสเซอร์ใดๆ หรือให้ตรวจจับประโยคใดๆ เป็นพิเศษได้ และถ้าคุณต้องการระบบรักษาความปลอดภัยแบบ SSL คุณต้องจ่าย 1000 ดอลลาร์ ต่อ 50 ยูสเซอร์ Infinite InterChange มี NNTP เซิร์ฟเวอร์ซึ่งสามารถดึงข้อมูลจาก NNTP เซิร์ฟเวอร์อื่นได้โดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน ทำให้คุณสามารถมีห้องสนทนาของคุณเองและสามารถต่อไปยัง Usenet หรือห้องสนทนาสาธารณะอื่นๆ ที่คุณต้องการได้ด้วย

E-Mail on the Cheap

ถ้าหากคุณต้องการประหยัด คุณอาจจะลงทุนเพียงแค่ฮาร์ดแวร์และมองหาฟรีแวร์ที่มีความสามารถมาใช้งาน ซึ่งคุณก็ต้องไม่ลืมว่าถ้าคุณจะต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษซึ่งถ้าหากคุณไม่มีความรู้พอ เวลาที่คุณจะใช้ในการศึกษาเพิ่มเติมอาจจะไม่คุ้มกับเงินที่คุณประหยัดได้ นอกจากนี้สำหรับฟรีแวร์อีเมล์นั้นแต่ละบริการจะแยกจากกันและเป็นคนละผลิตภัณฑ์ ซึ่งแต่ละผลิตภัณฑ์ก็จะมีวิธีการติดตั้งของตัวเองที่แตกต่างกันไป ไม่เหมือนในกรณีของอีเมล์เซิร์ฟเวอร์ซึ่งจะรวมบริการ MTA, IMAP และ POP เข้าไว้ด้วยกัน การติดตั้งก็ทำไปด้วยกันและมีเว็บอินเทอร์เฟซให้

เราใช้ Red Hat Linux 6.0 แทนใช้วินโดวส์เอ็นทีเซิร์ฟเวอร์ และพยายามมองหาฟรีแวร์ที่สามารถจัดการ IMAP อีเมล์ขนาด 250 ยูสเซอร์ได้ บนเซิร์ฟเวอร์เครื่องหนึ่งเราใช้ qmail ซึ่งติดตั้งง่ายและมีระบบรักษาความปลอดภัยดีกว่า Sendmail ที่เป็นที่รู้จักกันมากกว่า สำหรับบริการ MTA ซึ่งเป็นตัวที่ทำงานฟังก์ชันหลักในการจัดเก็บข้อความและการรับส่งเมล์และเพิ่มความสามารถ IMAP โดยใช้โปรแกรมของมหาวิทยาลัยวอชิงตันซี่งแจกฟรี (University of Washington)

บนเซิร์ฟเวอร์อีกเครื่องหนึ่งเราได้ติดตั้ง IntraStore Server 2000 เวอร์ชันสำหรับลีนุกซ์ซึ่งเป็นเวอร์ชันฟรีจาก Control Data System ซึ่งมีบริการ MTA และ IMAP และมีเว็บอินเทอร์เฟซสำหรับคอนฟิกูเรชัน เนื่องจาก qmail มีคำอธิบายการติดตั้งและใช้งานอย่างละเอียดและมีข้อมูลบนเว็บมากมาย ขั้นตอนในการติดตั้ง qmail จึงไม่ใช่ปัญหา วิธีการหลักๆ ก็จะประกอบด้วย การระเบิดไฟล์ที่ดาวน์โหลดออกมา สร้างยูสเซอร์และกรุ๊ป คอมไพล์ไฟล์ต่างๆ ที่คุณระเบิดออกมาและจากนั้นก็เริ่มใช้งานได้ qmail มีออปชันสำหรับปรับแต่งมากมาย แต่ในการติดตั้งแบบพื้นฐานคุณก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก การติดตั้ง IMAP เซิร์ฟเวอร์ของมหาวิทยาลัยวอชิงตันก็มีขั้นตอนคล้ายคลึงกันคือดาวน์โหลด คอนฟิก คอมไพล์และเริ่มใช้งาน แต่คุณจะต้องปรับแต่งเพื่อให้สามารถทำงานกับ qmail ได้

สำหรับ IntraStore การติดตั้งทำได้ง่ายเพียงแค่รันโปรแกรมติดตั้งและคอมไพล์ก็ใช้งานได้ IntraStore ยังมี X.500 ไดเรกทอรีอินทิเกรชันและเว็บอินเทอร์เฟซสำหรับผู้ดูแลระบบและสำหรับเข้าถึงอีเมล์ที่ทำงานได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

MailSite 3.0

MailSite 3.0 ของ Rockliffe System ติดตั้งได้ง่ายในเวลาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้นเองและสามารถอิมพอร์ตยูสเซอร์จากวินโดวส์เอ็นทีได้ นอกจากนี้ MailSite ยังสามารถอินทิเกรตเข้ากับฐานข้อมูลแบบ ODBC และใช้เก็บข้อมูลของสมาชิกรายการเมล์และข้อมูลการล็อกเข้าสู่ระบบได้ MailSite มีบริการหลายอย่างเช่น SMTP, POP3, IMAP, HTTP และ Eudora Change Password คุณสามารถควบคุมการทำงานของ MailSite ได้โดยใช้โปรแกรมควบคุมการทำงานที่รันบนวินโดวส์หรือโดยผ่าน HTML เว็บอินเทอร์เฟซหรือจาวาอินเทอร์เฟซก็ได้ เว็บอินเทอร์เฟซสามารถปรับแต่งได้โดยการแก้ไขเทมเพลตไฟล์ คุณสามารถกำหนดระดับสิทธิพิเศษให้ยูสเซอร์ได้สามระดับคือ ไม่มีโดเมนหรือเซิร์ฟเวอร์ (มีความสามารถสูงสุด) ยูสเซอร์ที่ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ สามารถจะเชื่อมต่อกับเซิ ร์ฟเวอร์ผ่านบราวเซอร์ ควบคุมและปรับแต่งเมล์บ็อกซ์ของตัวเองได้ ผู้ดูแลระบบระดับโดเมนสามารถแก้ไขยูสเซอร์แอ็กเคานต์ในโดเมนของตนเอง และผู้ดูแลระบบระดับเซิร์ฟเวอร์สามารถแก้ไขยูสเซอร์แอ็กเคานต์ของทุกโดเมน อย่างไรก็ตามในเวอร์ชันนี้ยูสเซอร์จะไม่สามารถเข้าถึงอีเมล์ผ่านทางเว็บบราวเซอร์ได้ (ฟีเจอร์นี้น่าจะสมบูรณ์แล้วขณะที่คุณกำลังอ่านบทความนี้) สำหรับความสามารถด้านการรักษาความปลอดภัยและต่อต้านสแปม คุณสามารถปฏิเสธเมล์ที่ส่งเข้ามาตามโดเมนเนม, หมายเลขไอพี และอีเมล์แอดเดรส SMTP รีเลย์ และระบบตรวจสอบความถูกต้องของผู้ใช้ของ SMTP ก็สามารถช่วยลดสแปมได้

MailSite รวมเข้ากับ Performance Monitor ของวินโดวส์เอ็นทีได้อย่างดีและได้เพิ่มตัวนับสำหรับติดตามการทำงานด้านต่างๆ ของระบบเข้าไปใน Performance Monitor 7 ตัว เหตุการณ์ที่สำคัญของระบบจะดูได้ใน Event Viewer ของวินโดวส์เอ็นทีและสามารถบันทึกลงไปในฐานข้อมูลแบบ ODBC นอกจากนี้ MailSite สามารถติดตามเหตุการณ์ต่างๆ แบบเรียลไทม์ทาง Performance Moniter ได้ MailSite มีคอมมานไลน์ยูทิลิตี้สำหรับใช้บันทึกและเรียกคืนคอนฟิกูเรชันของ MailSite ที่เก็บไว้มาลงใหม่ สำหรับจัดการชื่ออีเมล์แฝงและรายการเมล์ และสร้างยูสเซอร์แอ็กเคานต์กลุ่มใหญ่ๆ อย่างรวดเร็ว เซิร์ฟเวอร์สามารถควบคุมได้จากพีซีเครื่องใดๆ ก็ได้ที่รันวินโดวส์ 95 หรือ 98 MailSite มีจุดเด่นในด้านการรักษาความปลอดภัยและเครื่องมือสำหรับบริหารจัดการระบบ มีความสามารถทางด้านการจัดการข้อความและรายการเมล์พอใช้ได้ เมื่อบวกกับราคาที่ไม่แพงเราคิดว่า MailSite เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมากทีเดียว

ฟอร์แมตเพราะพลาดไป ลบแล้วไม่ต้องเสียใจ กู้ไฟล์กลับได้ทันที

เคยไหมครับที่เผลอลบไฟล์บางอย่างไปโดนที่ไม่ได้ตั้งใจ(เผลอไป) สิ่งที่หลายๆ คนใช้แก้ปัญหานี้ก็คือมัวแต่บ่นหัวเสีย แล้วก็เริ่มทำงานที่ลบไปใหม่ ไม่ใช่ทางที่แก้ที่ดีใช่ไหมครับ

เคยไหมครับที่เผลอลบไฟล์บางอย่างไปโดนที่ไม่ได้ตั้งใจ(เผลอไป) สิ่งที่หลายๆ คนใช้แก้ปัญหานี้ก็คือมัวแต่บ่นหัวเสีย แล้วก็เริ่มทำงานที่ลบไปใหม่ ไม่ใช่ทางที่แก้ที่ดีใช่ไหมครับ
บทความตอนนี้ผมคงไม่ได้แนะนำให้ไปหาไฟล์ที่เผลอลบไปใน Recycle Bin หรอกครับ (ง่ายไป) เราจะมาดูถึงวิธีการกู้ไฟล์ที่ลบออกไปจากเครื่องคอมพ์แล้วหรือแม้แต่ผ่านการฟอร์แมต แน่ไหมล่ะครับ? โปรแกรมนี้ มาดูกันเลยดีกว่าครับ

รูปที่ 1

รูปที่ 2

1. เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนะครับเมื่อเราคลิ้กปุ่ม OK ไปนั้นก็คือการสั่งให้ทำลายไฟล์นั้นทิ้งออกไปจากเครื่องไม่มีทางสามารถนำกลับมาได้ (ยกเว้นถ้าเราใช้โปรแกรมนี้ ) แนะนำตัวก่อนนะครับโปรแกรมนี้ชื่อว่า Pc Inspector File Recovery มีความสามารถในการกู้ข้อมูลทุกประเภทที่มีการลบไปแล้ว
2. หลังจากที่เราดาว์นโหลดและติดตั้งโปรแกรมเรียบร้อยแล้วให้เราดับเบิ้ลคลิ้กที่ไอคอน PC Inspector File Recovery โปรแกรมจะทำงานขึ้นและให้เราเลือกภาษาที่ใช้นั่นก็คือ English (ถ้าใครถนัดภาษาอื่นก็ตามสบายนะครับ)

รูปที่ 3

รูปที่ 4

3. จะมีหน้าตางแนะนำวิธีการใช้งานอย่างง่าย ๆ ให้เราคลิ้กปุ่ม Close
4. เริ่มการใช้งานโดยคลิ้กที่ Object > Drive หรือจะกด Hot Key ก็ตามนี้ครับ Ctrl + O

รูปที่ 5

รูปที่ 6

5. โปรแกรมจะมีการสแกนไฟล์สักครู่หลังจากนั้นให้เราคลิ้กที่ฮาร์ดดิสก์ที่เราเผลอลบข้อมูลไป และกดปุ่ม OK ครับ 6. ให้เราคลิ้กที่ Deleted จะเกิดรายชื่อไฟล์ต่างๆ ที่เราเคยลบไป วิธีการกู้คืนก็แค่คลิ้กขวาที่ไฟล์นั้นเลือกเมนูย่อยที่หัวข้อ Save to..... เพื่อระบุไดเรกทอรีที่เก็บไฟล์ เมื่อกู้ได้

รูปที่ 7

รูปที่ 8

7. จะมีหน้าต่างให้เราระบุไดเรกทอรี (ในตัวอย่างไว้ที่ My Documents)
8. เสร็จแล้วครับเมื่อเราไปดูใน My Documents ก็จะมีไฟล์งานที่เราลบไปกลับคืนมาครับ

ข้อมูลของโปรแกรม
ชื่อโปรแกรม : PC Inspector File Recovery
ดาวน์โหลด : www.convar.de
ประเภทโปรแกรม : ฟรีแวร์
ขนาดของโปรแกรม : 172 KB
เป็นไงครับการกู้ไฟล์แบบนี้แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่บ้างนะครับคือ ลองสังเกตดูที่โฟลเดอร์ที่แสดงในโปรแกรมจะมีอยู่ 2 สี ได้แก่เขียวกับเหลืองปกติ สิ่งนี้มีไว้แสดงว่าความเป็นไปได้ที่จะกู้ไฟล์กลับคืนมาครับ สีเขียวนั้นก็ 100% กู้ได้แน่นอนส่วนสีเหลืองก็น้อยลงมาตามเวลาที่เราลบไปนานแค่ไหนอาจมีบางส่วนของไฟล์ที่เสียหายไปเมื่อกู้คืนมาแล้ว
สิ่งนี้แหละครับคือข้อจำกัด ขอให้กู้ทันทีที่ลบหรือเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ได้ไฟล์คืนมาที่สมบูรณ์ที่สุด แต่ไม่ว่ายังไง ก็ดีกว่าทำใหม่ทั้งหมดจริงไหมครับ? อ้อ!! ปีใหม่ก็ผ่านไปแล้วนะครับ ขอให้กลับมาทำงานกันอย่างมีความสุขตลอดปีนี้นะครับ สวัสดีปี 2546 (ใครเล่น IRC ก็มาคุยแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับคอมกับผมได้ที่ห้อง #เด็กเทคนิคนะครับ) ~_~ kot^^^

ป้องกัน"โน้ตบุ๊ก"ถูกขโมย!!!

สอบถามกันเข้ามาอย่างต่อเนื่อง สำหรับเจ้าของโน้ตบุ๊ก-เน็ตบุ๊กที่ต้องการฟรีแวร์เล็กๆ ไว้ป้องกัน หรือติดตามหาโน้ตบุ๊ก หากมันมีอันต้องอันตรธานหายไป(โดยหัวขโมย) โดยเฉพาะใครที่ใช้งานนอกสถานที่อยู่เป็นประจำ ล่าสุดนายเกาเหลาไปพบฟรีแวร์ที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่ง ก็เลยนำมาฝากคุณผู้อ่านทุกท่านอีกแล้วครับ สำหรับตัวนี้มีชื่อว่า LAlarm ลองมาทำความรู้จักความสามารถคร่าวๆ ของมันกันดีกว่า เผื่อว่าจะเหมาะคุณก็ได้

ความน่าสนใจของ LAlarm ก็คือ มันเป็นโปรแกรมเล็กๆ ที่ช่วยป้องกัน หรือติดตามการถูกขโมยโน้ตบุ๊กของคุณได้ โดยสามารถส่งเสียง อีเมล์ หรือ SMS (น่าเสียดายที่โอเปอเรเตอร์บ้านเรายังไม่สนับสนุนบริการนี้?) เพื่อแจ้งให้คุณทราบ หากโน้ตบุ๊กถูกขโมย หรือเวลาที่ใครมายุ่งย่าม หรือเกาะแกะโน้ตบุ๊กของคุณ โดยเฉพาะในขณะที่เจ้าหัวขโมยถอดหน่วยความจำ USB หรือสายพาเวอร์ออก (กรณีที่ใช้ในสถานที่) นอกจากนี้โปรแกรมจะตรวจสอบ IP ของผู้ใช้ ซึ่งหากพบว่ามีการนำไปต่อเชื่อมกับเครือข่ายอื่นๆ ทั้งไร้สาย และมีสาย ก็จะส่งเสียง (เพื่อบอกให้คนแถวนั้นทราบว่า โน้ตบุ๊กถูกขโมยมา) หรือพยายามแจ้งเตือนให้คุณทราบด้วยวิธีต่างๆ ได้

LAlarm สามารถโปรแกรมให้ตอบสนองการเตือนได้หลายรูปแบบ เช่น เปิดเว็บแคม เพื่อบันทึกภาพเจ้าหัวขโมย ตลอดจนทำลายข้อมูลสำคัญๆ ในฮอาร์ดดิสก์โดยอัตโนมัติ หากถูกขโมยไป ซึ่งเจ้าของเครืองสามารถทราบได้ว่า โน้ตบุ๊กที่ถูกขโมยกำลังเชื่อมต่อกับเครือข่ายที่ใด หรือแม้กระทั่งได้รับอีเมล์พร้อมภาพใบหน้าของหัวขโมย หวังว่า LAlarm น่าจะถูกใจคุณผู้อ่านที่กังวลเรื่องโน้ตบุ๊กถูกขโมยนะครับ

1 ต.ค. 2552

ล้วงความลับการบีบอัดไฟล์

 

เชื่อว่าบรรดาผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายคนคงรู้จักไฟล์ที่ผ่านการบีบอัดเอาไว้ (ไฟล์ที่นามสกุล .Zip นั่นแหละครับ) กันแล้ว และคงจะทราบดีอยู่แล้วว่าสาเหตุที่เราทำการบีบอัดไฟล์นั้น ก็เพื่อลดขนาดของไฟล์ลงเพื่อให้การใช้งานเนื้อที่เก็บข้อมูลของสื่อบันทึกข้อมูลชนิดต่างๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือซีดีรอมเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะการที่เราเก็บข้อมูลในรูปของซิปไฟล์ ทำให้เราสามารถบรรจุไฟล์ลงในสื่อบันทึกข้อมูลได้ในปริมาณข้อมูลที่มากขึ้น

ไม่เพียงแต่ซิปไฟล์ (Zip) จะมีประโยชน์ต่อการเก็บลงบนสื่อบันทึกข้อมูลเท่านั้น ทั้งในแง่ของการใช้งานอินเทอร์เน็ตในด้านของความเร็วการส่งถ่ายข้อมูลจากการดาวน์โหลด หรืออัพโหลดไฟล์ที่อยู่ในรูปไฟล์นั้นจะดีกว่าไฟล์ที่ไม่มีการซิป (จะเห็นได้ชัดในกรณีที่เราเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งมีความเร็วในการเชื่อมต่อช้า)

เมื่อเราทำการบีบอัดไฟล์แล้ว เราจะคลาย หรือ Unzip ไฟล์ที่ทำการบีบอัดเอาไว้ได้อย่างไร ? ซึ่งก็ใช้โปรแกรมที่ชื่อ WinZip นั่นแหละ บางคนอาจจะเริ่มสงสัยแล้วใช่ไหมว่า แล้วบทความเรื่องนี้กำลังจะพูดถึงอะไร ผมไม่ได้มาเล่าเรื่องการใช้งานโปรแกรม WinZip หรอกครับ เพราะต่างก็คงรู้วิธีใช้อยู่แล้ว แต่ผมจะพูดถึงกลไกการทำงานของโปรแกรมบีบอัดไฟล์ ที่ทำให้ไฟล์ต่างๆ สามารถถูกบีบอัดเอาไว้ให้มีขนาดไฟล์เล็กที่สุดนั้นมันทำได้อย่างไร

จากนี้ไปเราจะมาทำความเข้าใจกับกระบวนการบีบอัดไฟล์ที่เกิดขึ้นกันว่ามีกลไกและหลักการอย่างไร?

ค้นหาสิ่งหรือข้อมูลที่ซ้ำๆ กันในไฟล์
การบีบอัดไฟล์ เปรียบเหมือนการลดจำนวนบิต (bit) และไบต์ (byte) ของข้อมูลลง และการคลายไฟล์หรือ Unzipไฟล์ ก็คือการสร้างข้อมูลขึ้นมาใหม่จากบิต หรือไบต์ ข้อมูลที่ถูกลดจำนวนลงไปในตอนแรก โดยจะต้องสร้างให้ไฟล์ข้อมูลนั้นๆ เหมือนต้นฉบับเดิม

ขั้นตอนที่โปรแกรมบีบอัดไฟล์ใช้ในการลดขนาดของไฟล์ลง ก็คือการค้นหา "ข้อมูล" ที่ปรากฏซ้ำๆ ภายในไฟล์ต้นฉบับ เพราะไฟล์ส่วนมากที่ใช้กับคอมพิวเตอร์จะประกอบด้วยข้อมูลซ้ำๆ กันเป็นจำนวนมาก หลังจากค้นเจอข้อมูลที่ซ้ำแล้ว เจ้าโปรแกรมที่ใช้ในการบีบอัดไฟล์จะทำการกำจัดข้อมูลที่ซ้ำๆ นั้นออกไป เพื่อความเข้าใจมากขึ้น ผมจะยกตัวอย่างข้อมูลที่เป็นประโยคสุดฮิตซึ่งบางคนอาจจะเคยได้ยินมาแล้ว คือ "Ask not what your country can do for you -- ask what you can do for your country." (อย่าถามว่าประเทศชาติจะให้อะไรแก่ท่าน แต่จงถามตัวเองว่าท่านจะทำอะไรให้ประเทศชาติบ้าง)

ถ้าใครเคยได้ยินมาก่อน ก็จะทราบดีว่าเป็นสุนทรพจน์ของจอห์น เอฟ เคเนดี้ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาผู้ล่วงลับไปแล้ว ต่อไปนี้ผมจะเรียกชื่อแบบย่อๆ คือ เจเอฟเค จากคำกล่าวนี้จะพบว่า มีคำในประโยคทั้งหมด 17 คำ ซึ่งเกิดจากตัวอักษรทั้งหมด 61 ตัว, มีช่องว่างหรือ space 16ช่อง, มีเส้นประหนึ่งเส้นประ และมีจุด full stop 1 จุด

สมมติว่า แต่ละส่วนประกอบย่อยๆ ที่กล่าวมาจะใช้เนื้อที่ในหน่วยความจำ 1 หน่วยความจำสำหรับแต่ละส่วนประกอบย่อย ดังนั้นเราจึงได้ขนาดของไฟล์ทั้งหมด (Total file size) เป็น 79 หน่วยความจำ

เป็นที่ทราบดีว่า ขั้นตอนที่โปรแกรมบีบอัดไฟล์ใช้ในการลดขนาดของไฟล์ลง ก็คือการค้นหา "ข้อมูล" ที่ปรากฏซ้ำๆ ภายในไฟล์ต้นฉบับ คำถามคือประโยคสุดฮิตของเจเอฟเค มีข้อมูลหรือคำอะไรบ้างที่ปรากฏซ้ำๆ กันบ้าง ? ก็คำพวกนี้ไงครับที่ทำให้ขนาดของไฟล์ใหญ่โตโดยไม่จำเป็น

ask มี 2 คำในประโยค
what มี 2 คำในประโยค
your มี 2 คำในประโยค
country มี 2 คำในประโยค
can มี 2 คำในประโยค
do มี 2 คำในประโยค
for มี 2 คำในประโยค
you มี 2 คำในประโยค

ถ้าเราไม่สนใจตัวอักษรตัวเล็ก หรือตัวใหญ่ที่ปรากฏในข้อความ พิจารณาอย่างคร่าวๆ จะพบว่าจะมีคำซ้ำๆ ที่เกิดขึ้นในประโยครวมแล้วมากกว่าครึ่งของจำนวนคำ (ข้อมูล) ทั้งหมดในประโยค จากคำทั้ง 9 คำที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กันนั่นคือคำว่า -- ask, not, what, your, country, can, do, for, you คำพวกนี้ได้บอกให้รู้ถึงใจความข้อมูลส่วนมากที่เราต้องการแล้ว การที่จะสร้างข้อมูลข้อความอีกครึ่งหนึ่งของประโยคนั้น เราจะพิจารณาไปที่คำชุดแรกที่มีขนาดครึ่งหนึ่งของประโยคทั้งหมด โดยจะทำการใส่ช่องว่างระหว่างคำ และการเว้นวรรคตอนของประโยคเข้าไปในการบีบอัดข้อมูลนี้ จากนี้ไปเราจะมาดูกันว่า ระบบการบีบอัดไฟล์จะทำสิ่งที่กล่าวมานี้ได้อย่างไร

กลไกค้นคำจากฐานข้อมูลดิกชันนารีของโปรแกรม

พื้นฐานในการบีบอัดไฟล์ของโปรแกรมบีบอัดไฟล์ จะใช้หลักการอัลกอริธึ่มพื้นฐาน ที่เรียกว่า LZ adaptive dictionary-based algorithm โดยที่ LZ ก็คือชื่อของนาย Lempe lและนาย Ziv ซึ่งเป็นผู้ที่คิดค้นอัลกอลิธึมพื้นฐานที่ใช้ในการบีบอัดข้อมูลที่กล่าวถึงนี้ ส่วนคำว่า dictionary นั้นจะอ้างถึงวิธีในการทำบัญชีรายชื่อของข้อมูลแต่ละชิ้น สำหรับระบบในการจัดเตรียมดิกชันนารีนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละโปรแกรมบีบอัดไฟล์ แต่ดิกชันนารีของแต่ละโปรแกรมนั้นยังมีจำนวนลิสต์ข้อมูลคำแบบพื้นฐานในดิกชันนารีที่เหมือนๆ กัน

ขอกลับมาที่วลีสุดฮิตของเจเอฟเคอีกทีครับ เมื่อเราจะทำการบีบอัดข้อมูลอันนี้ เริ่มต้นจากการดึงเอาคำที่ซ้ำกันออกมาแล้วใส่เลขดัชนี (index) ให้กับคำนั้น หลังจากที่กำหนดเลขดัชนีให้กับคำที่เราพบว่าเป็นคำซ้ำของคำทั้งหมดในประโยคข้อมูลแล้วคำถามคือ แล้วเราจะทำอะไรต่อไป ? ดูตัวอย่างข้างล่างนี้นะครับ

นี่คือคำซ้ำทั้งหมดหลังจากที่กำหนดเลขดัชนีให้กับมันแล้ว (เลขดัชนีคือเลข 1, 2, 3...ไปเรื่อยๆ จนถึง 8)

1. ask
2. what
3. your
4. country
5. can
6. do
7. for
8. you

USB 3.0 จะมาในไม่ช้า

 

เจ้าโลกอย่างอินเทลกำลังซุ่มปั้นมาตรฐาน USB 3.0 เพื่อรองรับโลกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บอกใบ้ได้เลยว่า เร็วกว่าเดิม 10 เท่า แถมกินไฟน้อยกว่าอีกต่างหาก

คงไม่มีมนุษย์คอมพิวเตอร์คนไหนไม่รู้จักอักษร 3 ตัวนี้ U S B มันคือผู้ยิ่งใหญ่ คือมาตรฐานในแง่ของการเชื่อมต่ออุปกรณ์รอบข้างทั้งหลาย แต่แล้วไม่นานก็กลับมีมาตรฐานใหม่ที่ชื่อ FireWire 800 โผล่ขึ้นมา ซึ่งแม้จะยังมีอุปกรณ์จำนวนเพียงหยิบมือเดียวที่รองรับ แต่มันก็ทำให้ USB ไม่สามารถคุยโวในแง่ความเร็วได้อีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่สามารถพ่วงคำว่า “ที่สุด” เข้าไปด้วยได้แล้ว

และนี่เองที่เป็นที่มาของยุคที่ 3 ของ USB สงครามเกทับที่คงไม่มีวันจบสิ้น อินเทลเริ่มตีปี๊บมาตรฐานใหม่ ด้วยการจัดตั้ง SuperSpeed USB Promotions Group เพื่อเป็นเครื่องรับประกันว่ามาตรฐานใหม่นี้จะเป็นที่แพร่หลายในหมู่อุปกรณ์ต่อพ่วงไปอีกอย่างน้อย 5 ปี

หัวใจสำคัญในการออกมาตรฐานใหม่ ก็คือเรื่อง Backward Compatible ซึ่งแน่นอนว่าเจ้า 3.0 ก็ย่อมต้องไม่พลาดแน่ๆ มันรองรับการทำงานกับ USB 2.0 หรือแม้แต่ 1.1 พูดในแง่ความเร็ว SuperSpeed USB จะรองรับอัตราการรับส่งข้อมูลที่ระดับสิบเท่าของ 2.0 เดิม คือเพิ่มจาก 480 Mbps กลายเป็น 4.8 Gbps ในขณะเดียวกันกลับบริโภคพลังงานน้อยลง นั่นก็หมายความว่า การก๊อบปี้หนังขนาด 27 GB เข้าไปในอุปกรณ์พกพา จะใช้เวลาเพียง 70 วินาทีเท่านั้น จากเดิมที่ต้องใช้ถึง 15 นาที

ในแง่ของพลังงานแล้วก็จะประหยัดขึ้น เพราะมีการออกแบบกลไกในการสื่อสารใหม่ คอมพิวเตอร์หรือโฮสต์จะถามอุปกรณ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ว่ามีข้อมูลจะส่งเพิ่มหรือเปล่า จากนั้นก็จะไม่ถามอีกแล้ว เทียบกับแบบเดิมที่คอมพิวเตอร์จะถามอย่างไม่หยุดยั้งเป็นช่วงๆ และเมื่ออุปกรณ์มีข้อมูลใหม่จะส่ง ตัวอุปกรณ์เองนั่นแหละจะเป็นผู้แจ้งให้คอมพิวเตอร์ทราบ ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้ก็น่าจะลดการกินไฟไปได้เยอะมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่ไม่มีการส่งข้อมูลกัน (idle) นอกจากนั้นระบบจัดการพลังงานของ USB 3.0 ยังสามารถจัดการกับการบริโภคพลังงานได้ในลักษณะแยกแต่ละลิงก์จากกัน ดังนั้นก็ยิ่งประหยัดไปได้อีกระดับ

อีกประเด็นที่ USB ตัวใหม่อยากจะแก้สิ่งผิดพลาดในอดีตก็คือเรื่อง Virtualization ทาง Promotion Group ต้องการออกแบบให้แน่ใจว่า ซอฟต์แวร์หรือแอพพลิเคชันในระบบ Virtual Machine สามารถเข้ามาใช้งานอุปกรณ์ USB 3.0 ได้โดยไม่ต้องมีซอฟต์แวร์ตัวกลางมาช่วย

ประเด็นสุดท้ายที่น่าสนใจคือเรื่องไดรเวอร์ของอุปกรณ์เก็บข้อมูล ปัจจุบันไดรเวอร์อุปกรณ์เก็บข้อมูลของ USB 2.0 นั้นรองรับความเร็วในการสื่อสารสูงสุดแค่ที่ 32 Mbps ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการออกแบบโมเดลของไดรเวอร์ใหม่ ซึ่งแม้ว่าจริงๆ แล้ว เรื่องไดรเวอร์ของฮาร์ดดิสก์จะเป็นประเด็นที่อยู่นอกขอบข่ายการออกมาตรฐาน USB แต่ทางกลุ่มทำงานก็อยากจะประสานงานไปทางกลุ่มผู้สร้างไดรเวอร์ฮาร์ดดิสก์ด้วย เพื่อให้มาตรฐาน USB ถูกใช้ประโยชน์เต็มประสิทธิภาพ

เปิดได้หมด!!! หนัง เพลง ดูได้แม้ไม่รู้จักไฟล์

 

ปัญหาน่าปวดหัวของหลายคนที่มักเจอ หลังจากที่ได้รับไฟล์มีเดียจากเพื่อน หรือไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาเองจากอินเทอร์เน็ตคือ ไม่สามารถเปิดไฟล์ดังกล่าวเพื่อใช้งานได้ ปัญหานี้เกิดขึ้นค่อนข้างเยอะในยุคที่มีหลากหลายมาตรฐานของนามสกุลไฟล์เช่นปัจจุบัน

จริงๆ แล้วปัญหาประเด็นนี้เราสามารถแก้ไขได้ไม่ยาก เพียงแค่เราทราบว่าไฟล์นามสกุลดังกล่าวต้องเป็นไฟล์ประเภทไหน และใช้โปรแกรมอะไรเปิด หรือหากจะใช้ Windows Media Player จะต้องติดตั้งอะไรเพิ่มเสริมเข้าไปบ้าง

เรื่องนี้ฟังดูง่ายสำหรับบางคน แต่ก็เป็นเรื่องยาก (มาก) สำหรับอีกหลายคนเช่นกัน คอมพิวเตอร์.ทูเดย์ฉบับนี้จึงขอนำคุณสู่หนทางพ้นทุกข์ด้วยสารพัดโปรแกรมที่จะช่วยให้คุณเปิด (ไฟล์) ได้หมด แม้ตัวคุณจะไม่รู้จักไฟล์ดังกล่าวเลย

ประเภทไฟล์เรื่องที่คุณสงสัย

ไฟล์ AVI

สำหรับไฟล์ AVI ถ้าพูดไปแล้วหลายคนต้องรู้จักแน่ๆ เพราะเป็นไฟล์วิดีโอที่ดูผ่านคอมพิวเตอร์ ซึ่งถูกพัฒนาจากไมโครซอฟท์ โดยภายในไฟล์ .avi มาพร้อมกับภาพ และเสียงพร้อมกัน มีความคมชัดของภาพ และเสียงที่สมจริง ส่วนใหญ่จะนำมาเป็นต้นฉบับของไฟล์วิดีโอบนแผ่นดีวีดี

ซึ่งไฟล์ AVI นี้มหลากหลายรูปแบบ ถึงแม้ว่า จะเห็นเป็นไฟล์ .avi ก็ตาม แต่จะแตกต่างกันตามรูปแบบของการ encode ของไฟล์นั้น ไม่ว่าจะเป็น DivX codec, XVID codec เป็นต้น หากเป็นไฟล์ avi ธรรมดาทั่วไปเราก็สามารถใช้โปรแกรม Windows Media Player เปิดดูได้ทันที แต่หากเปิดไม่ได้คงต้องหาโปรแกรมอื่น หรือไม่ก็ต้องไปดาวน์โหลดไฟล์ codec จากเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์มาติดตั้งภายในเครื่องถึงจะเปิดได้

วิธีแก้ไขเบื้องต้น หากต้องการเปิดไฟล์ AVI ด้วยโปรแกรม Windows Media Player ก็คือ ให้ไปดาวน์โหลดตัว Codec จากเว็บไซต์ไมโครซอฟท์ (www.microsoft.com) จากนั้นก็ให้ดับเบิลคลิกไฟล์ดังกล่าวเพื่อติดตั้ง Codec เพิ่ม แต่ที่สำคัญโปรแกรม Windows Media Player ของคุณต้องเป็นเวอร์ชัน 11

ไฟล์ XVID

เกิดจากกลุ่มนักพัฒนาอิสระ ที่พัฒนารูปแบบการบีบอัดบนพื้นฐานของ mp4 เหมือนกับ DivX แต่ XviD เป็น Open Source คือ ได้เผยแพร่ให้มีการพัฒนาจากนักพัฒนาทั่วโลก เนื่องจากว่ามาตรฐานการบีบอีกของ XviD ใช้เป็นแบบ ASP (MPEG-4 Advanced Simple Profile) ไฟล์ XviD จึงสามารถเล่นบนโปรแกรมหรือเครื่องเล่น DVD ที่สามารถเล่นไฟล์ MP4 หรือ DivX ได้เช่นกัน ทั้งนี้ทั้งนั้น กรุณาตรวจสอบเครื่องเล่นของท่านตามเว็บไซต์ว่าเครื่องเล่นของท่านสนับสนุนไฟล์ XviD ด้วย หากท่านต้องการเล่นไฟล์ Xvid บนเครื่องคอมพิวเตอร์ท่านจะต้องติดตั้ง Xvid Decoder ซึ่งหาได้ตามเว็บไซต์ทั่วไปเช่นกัน

ไฟล์ DivX

จะมีนามสกุลเป็น .avi หรือ .divx แต่ไฟล์ .avi ไม่จำเป็นต้องเป็นไฟล์ DivX เสมอไป ข้อแตกต่างอีกอย่างหนึ่งระหว่างไฟล์ DivX กับ avi ธรรมดาก็คือ ไฟล์ DivX สามารถเล่นพร้อมกับเลือกแสดง Subtitle ได้ หลายภาษา โดยปรับที่ Remote Control บนเครื่องเล่น dvd หรือ หากท่านใช้โปรแกรมเช่น Windows Media Player เล่นไฟล์ประเภทนี้ ท่านอาจจะต้องติดตั้งโปรแกรม แสดง subtitle เพิ่มเติม เช่นโปรแกรม Direct Vobsub เพื่อให้ subtitle ปรากฏไปพร้อมๆกับการรับชมภาพยนตร์ด้วย

ไฟล์ 3GP

ใครมีมือถือคงต้องรู้จัก 3gp แน่ๆ เพราะเป็นไฟล์วิดีโอที่สามารถเปิดดูได้จากโทรศัพท์มือถือทั่วไป ซึ่งไฟล์ประเภทนี้เป็นไฟล์วิดีโอที่มีขนาดเล็กกว่าไฟล์วิดีโอทั่วไป เพราะด้วยข้อจำกัดของการเปิดดูจำเป็นต้องดูจากโทรศัพท์มือถือเท่านั้น ทำให้ต้องถูกบีบอัดไฟล์ให้มีขนาดเล็ก และสิ่งที่ตามมาก็คือ เมื่อขนาดไฟล์เล็กแล้ว คุณภาพของภาพก็ต้องด้อยลง

แต่หากใครไปดาวน์โหลดไฟล์ 3gp จากอินเทอร์เน็ตแล้วจะมาเปิดดูในคอมพิวเตอร์ โปรแกรมดูหนังทั่วไปไม่สามารถเปิดได้ ต้องใช้โปรแกรม Nokia Multimedia Player หรือไม่ก็ต้องไปดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเทอร์เน็ตมาเปิดดู

ไฟล์ MKV

ไฟล์ประเภทนี้อาจจะไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไร แต่ถ้าเป็นคนที่ท่องอินเทอร์เน็ตจริงๆ ต้องเคยเจอกันบ้าง ซึ่งไฟล์ประเภท MKV มีรูปแบบคล้ายๆ กับ MP4 หรือ AVI ที่สามารถบรรจุภาพ และเสียง พร้อม subtitle ให้อยู่ในไฟล์เดียวได้ ซึ่งคุณภาพของภาพและเสียงไม่แตกต่างกันเลย แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ MKV เป็นไฟล์แบบ Open Source ที่นักพัฒนาทั่วไปสามารถช่วยพัฒนาต่อยอดให้ไฟล์นี้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น

ไฟล์ FLV

หากใครชอบดูวิดีโอผ่านเว็บคงคุ้นเคยกันบ้าง เพราะเป็นไฟล์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบนเว็บไซต์ที่ให้บริการวิดีโอผ่านเว็บไซต์ ซึ่ง FLV คือไฟล์วิดีโอที่ถูกสร้างจากโปรแกรม Macromedia Flash เป็นไฟล์ที่มีขนาดเล็ก แต่คุณภาพดีกว่าไฟล์ 3gp สามารถเปิดดูได้จากโปรแกรม Flash Player หรือ QuickTime จากแอปเปิ้ลก็ได้ ทำให้หลายเว็บนิยมแปลงไฟล์ให้เป็น FLV เพื่อง่ายต่อการชมผ่านเว็บไซต์

แปลง VCD Karaoke เป็น MP3

 

นอกจากการดูหนัง และฟังเพลงแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือ การร้องเพลงคาราโอเกะ ซึ่งมีอยู่ในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือ VCD Karaoke ที่มีไฟล์ภาพเคลื่อนไหว พร้อมเสียง นับว่าให้ความบันเทิงได้ดีเป็นอย่างมาก

นอกจากการดูหนัง และฟังเพลงแล้ว ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันก็คือ การร้องเพลงคาราโอเกะ ซึ่งมีอยู่ในหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นก็คือ VCD Karaoke ที่มีไฟล์ภาพเคลื่อนไหว พร้อมเสียง นับว่าให้ความบันเทิงได้ดีเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังมีปัญหาก็คือ ไฟล์ที่ใหญ่ และนำไปใช้กับเครื่องเล่นออดิโอ หรือว่าเอ็มพีสามไม่ค่อยได้ ในฉบับนี้ผมมีวิธีการแปลง VCD Karaoke ให้เป็น MP3 มาฝากครับ
ก่อนอื่นต้องไปดาวโหลดซอฟต์แวร์ที่มีชื่อว่า X2CD มาก่อนครับ จากเว็บไซต์ http://www.x2cd.net แล้วทำการติดตั้งให้เรียบร้อย ซอฟต์แวร์ตัวนี้จะเป็นเวอร์ชันทดลอง สามารถใช้งานได้ปกติทุกอย่าง มีข้อจำกัดเพียงเรื่องของจำนวนไฟล์ที่เราจะแปลงแต่ละครั้งเท่านั้น ซึ่งไม่เกิน 5 ไฟล์ต่อครั้ง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อติดตั้งซอฟต์แวร์เสร็จแล้ว ให้เปิดซอฟต์แวร์ขึ้นมา ซึ่งจะมีหน้าจอพร้อมไอคอนต่างๆ ให้เราเลือกใช้ ในกรณีที่เราจะแปลง VCD Karaoke นั้นจะต้องมีการเพิ่มไฟล์ที่จะแปลงเอง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------

คลิ้กที่รูปโฟลเดอร์ เพื่อเพิ่มไฟล์ อย่าลืมใส่แผ่น VCD Karaoke ด้วยนะครับ จากนั้นจะมีหน้าต่างขึ้นมา ซึ่งเราจะต้องไปที่โฟล์เดอร์สำหรับเก็บไฟล์ VCD Karaoke ส่วนใหญ่จะอยู่ในโฟลเดอร์ MPEGAV ตรงนี้ให้เลือกไฟล์ที่ต้องการแปลง จะเลือกไฟล์เดียว หรือคลิ้กเลือกหลายๆ ไฟล์ก็ได้ หากไม่แน่ใจไฟล์ไหนว่าเป็นเพลงอะไร ก็ดับเบิ้ลคลิ้กเพื่อดูให้แสดงไฟล์ VCD Karaoke ได้เลย
------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อเลือกเสร็จแล้ว จากนั้นเราจะมาเลือกไฟล์ที่ต้องการแปลง ซึ่งก่อนการแปลงเราสามารถกำหนดค่าต่างๆ ให้กับไฟล์ได้ โดยคลิ้กเมาส์ขวาที่ชื่อไฟล์ แล้วเลือก Set ID3 info ให้เราใส่ค่าต่างๆ ที่ต้องการไป ไม่ว่าจะเป็นชื่อเพลง ชื่อนักร้องและรายละเอียดต่างๆ จากนั้นก็คลิ้ก Save ID3 ครับ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ต่อไปเราต้องกำหนดรูปแบบของไฟล์ว่าจะให้เป็น WAV หรือ MP3 ให้เลือกอยู่ทางด้านล่างครับ ถัดไปอีกทางด้านขวาเราจะกำหนดโฟลเดอร์สำหรับเก็บไฟล์ที่แปลงแล้ว อันนี้แล้วแต่ผู้ใช้ครับว่าจะเก็บไว้ไหน เมื่อกำหนดเสร็จแล้ว เราก็มาเริ่มกันเลย
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

เมื่อพร้อมแล้วเราจะเริ่มการแปลง ก็ให้คลิ้กไอคอนทางด้านซ้าย ซึ่งหน้าตาก็ดูได้จากรูปครับ เมื่อคลิ้กแล้ว จะมีหน้าจอ Output format setting ขึ้นมา ให้เลือกความถี่ที่ต้องการ และบิตเรตได้ แนะนำว่าให้เลือก Frequency เป็น 44100 Hz ส่วน MP3 bitrate เป็น 128 kbits/s ซึ่งเป็นมาตรฐาน หากต้องการคุณภาพเสียงที่ดีกว่านี้ก็เลือกปรับให้สูงกว่านี้ได้ครับ เมื่อเสร็จแล้วก็คลิ้กที่ Continue
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

จะมีหน้าจอแสดงการแปลงไฟล์ให้เราเห็นใช้เวลาไม่นานครับ 1 ไฟล์ประมาณไม่เกิน 1 นาที ในเพลงที่มีความยาวประมาณ 3 - 4 นาที เมื่อเสร็จแล้ว เราก็ไปลองดูกันครับว่าไฟล์ที่แปลงได้นั้นปกติดีหรือไม่
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สำหรับไฟล์ที่ได้มาจะเป็นไฟล์ MP3 นะครับ สามารถนำไปฟังได้ทันที เสียงที่ออกมาจะถูกแยกเป็นลักษณะเสียงร้องจะอยู่ลำโพงด้านขวา หากต้องการร้องเป็นคาราโอเกะ ก็ให้เลือกเปิดเสียงแบบ MONO หรือว่าให้เล่นเฉพาะเสียงจากลำโพงด้านซ้าย ทีนี้คุณก็จะมีไฟล์คาราโอเกะแบบ MP3 ไว้ร้องกันแล้ว

*Speed up by Disable เร่งเครื่องให้เต็มที่ ด้วยวิธีพอเพียง

 

ปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานช้านั้นผมเชื่อว่าเป็นสิ่งที่หลายๆ คนต้องเคยเจออย่างแน่นอน หรืออาจจะกำลังเจอกันอยู่ หลังจากที่เพิ่งฟอร์แมตเครื่องไปเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาแค่เดือนเดียวเท่านั้นเอง ปัญหานี้ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากผู้ใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์ซะด้วย นั่นเพราะว่าวินโดวส์ไม่ดีหรือว่าเราไม่ไม่เข้าใจมันกันแน่นะ?

ความอืดที่แลกมาเพื่อความสะดวก

จริงๆ แล้วระบบปฏิบัติการทุกตัวก็คงไม่ได้แตกต่างกันมากในเรื่องของประสิทธิภาพหรอกครับ เพราะมันก็เป็นซอฟต์แวร์เหมือนๆ กัน มันขึ้นอยู่กับว่าซอฟต์แวร์นั้นถูกพัฒนาขึ้นมาอย่างไร และให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลอะไรบ้างเท่านั้นเอง และระบบปฏิบัติการวินโดวส์ก็เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องของประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับระบบปฏิบัติการตัวอื่นๆ

ถ้าลองไปถามใครต่อใครว่าระบบปฏิบัติการตัวไหนที่เร็วที่สุด คงไม่มีใครพูดถึงวินโดวส์จริงไหมครับ แล้วถ้าพูดถึงระบบปฏิบัติการที่ใช้งานง่ายและสะดวกที่สุดล่ะ แน่นอนส่วนใหญ่คงหนีไม่พ้นวินโดวส์นั่นเอง ดังนั้นจากจุดนี้เองวินโดวส์ได้รับการออกแบบมาให้ใช้งานได้สะดวกจึงทำให้มันมีการทำงานที่ค่อนข้างซับซ้อนและมีการทำงานเพื่อเตรียมความพร้อมให้รองรับการใช้งานด้านต่างๆ กับผู้ใช้ไว้เสมอ ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมรับล่ะครับ ว่าเราก็ไม่ได้ใช้

คุณเคยสังเกตกันบ้างหรือไม่ครับว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่คุณใช้อยู่นั้นสามารถทำงานได้ดีมาก จะทำโน่น ทำนี่ก็สามารถทำได้ทุกอย่าง ง่ายไปหมด จะติดตั้งโปรแกรม หรือจะใช้งานอุปกรณ์อะไรก็สามารถรองรับได้หมด แล้วคุณคิดว่าความสามารถทั้งหมดจะต้องการโค้ดหรือชุดคำสั่งที่มีความสลับซับซ้อนมากเพียงใด และโค้ดคำสั่งเหล่านี้จะต้องใช้การประมวลผลจากซีพียูแค่ไหน

Service ต่างๆ ในวินโดวส์

จริงอยู่ว่าคุณอาจจะไม่ได้ใช้งานฟังก์ชันทั้งหมดที่มันใส่มาในระบบ  แต่ว่าของอย่างนี้ก็เลือกไม่ได้หรอกครับ คนที่พัฒนาซอฟต์แวร์ก็ต้องออกแบบให้มีความสมดุลและเอื้ออำนวยให้กับผู้ใช้ทุกๆ กลุ่ม นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ภายในเครื่องของเรามีฟังก์ชันการทำงานที่ถูกเปิดทิ้งไว้มากมาย โดยที่เราแทบจะไม่เคยได้ใช้ หรือไม่เคยรู้เลยด้วยซ้ำว่ามีมันอยู่ในระบบด้วย

Service ต่างๆ ที่รันอยู่ในวินโดวส์ ลองเลื่อนแถมลงมาดูน่าจะนับได้ราวๆ ครึ่งร้อย

Service ถือว่าเป็นรูปแบบการทำงานของโปรแกรมภายในวินโดวส์อย่างหนึ่ง โปรแกรมที่อยู่ในกลุ่ม Service นี้จะคอยทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้ใช้ในด้านที่มันรับผิดชอบ โดยจะคอยทำงานอยู่เบื้องหลัง จะว่าไปก็เหมือนกับโปรแกรมที่ทำงานในลักษณะ Background นั่นเอง แล้วคุณลองคิดถึงซิครับว่าถ้ามี Service ทำงานอยู่ประมาณ 30 ตัว เครื่องจะช้าลงขนาดไหน ทั้งๆ ที่คุณอาจจะได้ใช้งานมันไม่ถึง 10 ตัวเลยด้วยซ้ำไป

เปิดใช้ Service ให้พอเพียง อย่างเพียงพอ

สมัยนี้เป็นยุคพอเพียงครับ ดังนั้นเราจึงควรจะต้องปิด Service ที่ไม่จำเป็นทิ้ง เพื่อให้คอมพิวเตอร์เอาเวลาที่ต้องไปประมวลผล Service เหล่านี้มาประมวลผลงานที่เราทำจะดีกว่า มาถึงนี้เราจะเข้าไปปิด Service ได้อย่างไร แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าตัวไหนใช้บ้าง ไม่ใช้บ้าง เราจะไปดูพร้อมๆ กันเลยครับ

วิธีในการเข้าไปจัดการกับ Service

สำหรับ Service ในวินโดวส์นั้น คุณสามารถที่จะเข้าไปจัดการมันได้โดยมีวิธีการคือไปที่ปุ่ม Start แล้วเลือกคำสั่ง Run จากนั้นพิมพ์ service.msc ลงไปแล้วกดปุ่ม OK หน้าต่าง Service ก็จะรันขึ้นมาครับ โดยในนั้นจะมี Service มากมายในคุณได้ปรับการทำงาน (Startup Type) โดยจะแบ่งรูปแบบการตั้งค่าดังนี้

  • Automatic ให้เริ่มทำงานโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่คุณเปิดเครื่องและบูตเข้าสู่วินโดวส์
  • Manual ไม่ให้เริ่มทำงานเอง แต่จะสามารถสั่งให้หยุดหรือเริ่มการทำงานได้โดยผู้ใช้เอง หรือโปรแกรมบางตัว
  • Disable เป็นการปิดการทำงานของ Service ไม่ให้เริ่มการทำงาน

โหมด Startup ของ Service มีอยู่ด้วยกันหลัก 3 แบบแล้วแต่รูปแบบการใช้งาน

Service ไหนปิดได้บ้าง

เนื่องจาก Service ของระบบวินโดวส์มีอยู่มากมาย บางตัวเป็น Service ของโปรแกรมต่างๆ ที่เราติดตั้งไว้ และบางตัวก็เป็น Service ของระบบเอง ดังนั้นจึงต้องทราบก่อนว่า Service ไหนเป็นของอะไรและจะต้องใช้งานหรือไม่ จึงค่อยตัดสินใจปิดนะครับ เราไปดูกันเลยดีกว่ามี Service อะไรบ้างที่น่าจะปิดกันได้

ใช้คำสั่ง Run แล้วพิมพ์ service.msc เพื่อเข้าสู่หน้าจอ Service

หน้าจอ Service จะมีรายชื่อของ Service ในเครื่องคุณมากมาย

ดับเบิลคลิกที่ชื่อ Service เพื่อตั้งค่าเกี่ยวกับ Service นั้น

 

คุณสามารถคลิกขวา แล้วสามารถเลือก Start และ Stop เพื่อเริ่มและหยุดการทำงานของ Service ได้ทันที

*Speed UP!! เครื่องแรงได้ แบบไม่เสียตังค์สักบาท!

 

เป็นเรื่องปกติที่ไม่ว่าใครต่างก็อยากให้เครื่องคอมพ์ของตัวเองทำงานได้อย่างรวดเร็ว-ราบรื่นไปพร้อมๆ กัน เพื่อตอบสนองการใช้งานในด้านต่างๆ ซึ่งทุกวันนี้ก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของการโหลดบิตทอเร้นต์และการดาวน์โหลดไฟล์หรือข้อมูลต่างๆ จากบนเว็บไซต์ ไม่ก็ใช้งานโปรแกรมได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น เพราะเวลาแต่ละวินาทีนั้นแสนมีค่า จะให้มานั่งทนดาวน์โหลดไฟล์แค่ไม่กี่สิบกี่ร้อยเมกะไบต์กันเป็นวันๆ ก็คงไม่มีใครเล่นด้วยแน่ เพราะไหนๆ เราก็ลงทุนติดตั้งไฮสปีดอินเทอร์เน็ตที่ไวกว่าโมเด็ม 56K เกลอเก่าในอดีต ทั้งยังอัพเกรดเครื่องกันไปแล้วจนกระเป๋าแทบฟีบ

แต่ถึงแบบนั้นก็คงมีอยู่บ้างใช่ไหมครับที่คุณอาจรู้สึกว่าผลที่ได้รับตอบกลับมานั้นยังไม่ค่อยน่าพอใจสักเท่าไรนัก เป็นต้นว่าจู่ๆ วินโดวส์กลับทำงานได้อืดลงเรื่อยๆ จนเปิดดูข้อมูลในโฟลเดอร์ได้ช้ากว่าที่เคยเป็น หรือความเร็วในการสูบไฟล์ทอเร้นต์ตกฮวบลงมาเอาดื้อๆ ซึ่งบางทีก็อาจเป็นปัญหาทางเทคนิคอย่างชุมสายมีปัญหา หรือไม่อย่างนั้นก็อาจเป็นปัญหาที่มาจากวินโดวส์ของคุณเองเข้าก็ได้ (แต่ไม่ได้หมายความว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเสียหรอกนะครับ) ซึ่งถ้าเป็นปัญหาอย่างหลังนี้ละก็ คอมพิวเตอร์ทูเดย์ฉบับนี้มีวิธีเสริมพลังเด็ดๆ มาแนะนำให้คุณสำหรับพาวเวอร์อัพวินโดวส์เอ็กซ์พี ให้แรงเร็วแบบไร้สะดุดสำหรับการใช้งานโดยเฉพาะเลยครับ

ปรับแต่งวินโดวส์ XP ให้สดใสว่องไวเหมือนใหม่

เมื่อเราใช้งานคอมพิวเตอร์ไปนานๆ เข้าก็คงเริ่มรู้สึกได้ทันทีว่าการทำงานของมันเริ่มจะอืดขึ้นเรื่อยๆ ดีไม่ดีคุณจะพบว่ามันอืดกันตั้งแต่ช่วงเปิดเครื่องเพื่อโหลดเข้าหน้าต่างวินโดวส์กันเลยทีเดียว อันที่จริงแล้วอาการช้าของมันที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่นั้นก็มาจากการใช้งานอันหนักหน่วงของยูสเซอร์นี่เอง

ไม่ว่าจะเป็นการลงโปรแกรมใหม่ๆ อัดเข้าไปเยอะแยะ การสั่งใช้งานให้โปรแกรมรันบน System Tray แบบเงียบๆ โดยที่คุณไม่รู้ตัว ไฟล์ขยะที่หลงเหลือจากการทำงานหรือการท่องอินเทอร์เน็ต ไม่ก็เปิดเอฟเฟ็กต์บนวินโดวส์ไว้เต็มอัตราศึกโดยไม่จำเป็น ฯลฯ ทั้งหมดที่ว่ามานี้เป็นเพียงส่วนย่อยเพียงหยิบมือของสาเหตุที่ทำให้วินโดวส์ทำงานช้าลง ดังนั้นเรามาดูกันดีกว่าครับว่าต้องทำอย่างไรบ้างวินโดวส์ตัวเก่งของเราจึงจะกลับมาแรงเร็วเหมือนใหม่กันอีกครั้ง

1.เพิ่มพื้นที่ว่าง (ไว้หายใจ) ให้ฮาร์ดดิสก์

สิ่งที่หลายคนลืมนึกถึงกันก็คือเรื่องใกล้ตัวอย่างพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ครับ ยิ่งมีพื้นที่เหลือไว้มาก การทำงานของวินโดวส์ก็จะไวขึ้นตามไปด้วย อย่าลืมครับว่าวินโดวส์นั้นทำงานร่วมกับฮาร์ดดิสก์หลายอย่าง ทั้งการใช้เป็นพื้นที่หน่วยความจำเสริมชั่วคราว (เมื่อแรมไม่พอ) ใช้เป็นที่จัดเก็บ System Restore สำหรับป้องกันเวลาวินโดวส์มีปัญหา และเรื่องจุกจิกอีกมากมาย ดังนั้นการเคลียร์ขยะและโปรแกรมใช้งานที่ไม่จำเป็นออกไปจากฮาร์ดดิสก์จะช่วยให้การทำงานของวินโดวส์ไหลลื่นมากขึ้นซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายวิธีดังต่อไปนี้ครับ

  • ไปยัง Start Menu-> All Programs-> Accessories-> System Tools-> Disk Cleanup เพื่อให้โปรแกรมคำนวณหาค่าพื้นที่ฮาร์ดดิสก์คร่าวๆ ที่คุณจะได้คืนมาจากการลบไฟล์ขยะและโปรแกรมพื้นฐานบนวินโดวส์ที่ไม่จำเป็นกับคุณ เช่นไฟล์ Temporary หรือขยะใน Recycle Bin โดยสามารถเลือกลบไฟล์และโปรแกรมได้จากหน้าต่าง Disk Cleanup นี้เลย
  • ลบไฟล์ขยะโดยไปที่ Start Menu-> Run พิมพ์ %temp% กดปุ่ม ok จะเห็นว่ามีไฟล์ขยะยั้วเยี้ยไปหมดดังนั้นจัดการลบมันทิ้งไปจากโฟลเดอร์นี้ให้เรียบอาวุธซะ (ก่อนลบให้แน่ใจว่าไม่ได้เปิดโปรแกรมอะไรอยู่ด้วยนะครับ)
  • ลบโปรแกรมที่ไม่จำเป็นออกไปจากเครื่องบ้างโดยไปที่ Start Menu-> Control Panel-> Add or Remove Programs แล้วลองตรวจดูว่าคุณมีโปรแกรมไหนบ้างที่ลงไว้แล้วไม่ได้แตะมันเลย ลบไปบ้างครับอย่าเสียดายโดยใช่เหตุ (ผมเห็นเพื่อนผมมันลงโปรแกรมดูหนังไว้สองสามตัวแต่เปิดใช้บ่อยแค่ตัวเดียว... เพื่ออะไรเนี้ย -*-)

  • ปรับลดพื้นที่ของ System Restore โดยคลิ้กขวาที่ไอคอน My Computer บนเดสก์ทอปเลือกเมนู Properties-> System Restore จากนั้นคลิ้กที่ปุ่ม Settings เพื่อปรับลดขนาดพื้นที่ซึ่งวินโดวส์จองไว้บนฮาร์ดดิสก์ให้ลดลงมาประมาณที่ 4 – 5 เปอร์เซ็นต์ (จาก 12 เปอร์เซ็นต์) ความจริงจะปิดการทำงานของมันไปเลยก็ได้เพราะจะได้พื้นที่คืนมาเยอะแยะเลย แต่ไม่แนะนำครับ
  • ลบโปรแกรมที่มาพร้อมกับวินโดวส์ XP ออกไป เนื่องจากโปรแกรมที่มากับตัววินโดวส์นั้นจะไม่มีรายการใน Add Remove เพราะถูกซ่อนเอาไว้ ดังนั้นเราต้องไปลากมันออกมาโดยไปที่ Start-> Setting-> Control Panel-> Folder option เลือกแท็บ view แล้วติ้กเลือก show hidden files... เพื่อให้วินโดวส์โชว์ไฟล์ที่ซ่อนไว้
  • จากนั้นไปที่ Start-> Run พิม inf หาไฟล์ sysoc.inf ดับเบิลคลิ้กเปิด notepad แล้วมองหาโปรแกรมที่ต้องการลบ เมื่อเจอให้ลบคำว่า hide ออกไป (เฉพาะโปรแกรมที่ต้องการลบ) เสร็จแล้วจัดการเซฟ สุดท้ายไปที่ Add Remove เพื่อลบมันออกไป
  • ปรับขนาดของถังขยะ Recycle Bin เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการใช้งาน โดยคลิ้กขวาที่ถังขยะ เลือกไป Propoties ปรับตรงเปอร์เซ็นต์ (จากเดิมคือ 20%) ปรับเป็น 4 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถเพิ่มพื้นที่ของฮาร์ดดิสก์ได้ถึง 16 เปอร์เซ็นต์เชียวครับ
  • สุดท้ายเป็นการลบขยะในรีจีสทรีซึ่งเป็นไฟล์ของระบบที่มีการเก็บค่าการลงทะเบียนหรือค่าตั้งต้นต่างๆ ของโปรแกรมที่ติดตั้งลงในเครื่อง ในเวลาที่คุณลบโปรแกรมออกไปบางครั้งมันจะยังมีสิ่งหลงเหลือฝากไว้ เมื่อผ่านไปนานเข้าจะทำให้รีจีสทรีมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
  • ขยะเหล่านั้นจะส่งผลให้เครื่องทำงานช้าลง หากลบออกก็จะช่วยลดเวลาในการอ่านรีจีสทรี ของวินโดวส์ลงด้วย แต่การแก้ไข รีจีสทรีเป็นสิ่งที่ค่อนข้างอันตรายสำหรับมือใหม่ ถ้าลบผิดไปละก็อาจทำให้ถึงกับบูตเครื่องไม่ติดเลยก็เป็นได้ ดังนั้นทางที่ดีใช้โปรแกรมช่วยจะลดการเสี่ยงได้มากกว่าครับ โดยใช้ Easy Cleaner (http://www.docsdownloads.com/download/EClea2_0.exe) ขนาด 2.81 เมกะไบต์
  • เปิดโปรแกรม Easy Cleaner 2.0 ขึ้นมาแล้วเลือกไอคอนรีจิสทรี จากนั้นคลิ้กปุ่ม Find เพื่อค้นหาขยะในรีจิสทรีที่เหลือติดค้างอยู่แล้วรอโปรแกรมค้นหาสักพัก จากนั้นกดปุ่มลบทิ้งให้หมดเป็นอันเสร็จ

2. สวยน้อยหน่อย เร็วขึ้น (อีก) หน่อย

ถึงแม้ว่าวินโดวส์เอ็กซ์พีจะมีอินเทอร์เฟซและเอฟเฟ็กต์สวยงามสู้วิสต้าไม่ติดฝุ่น แต่มันก็สามารถทำให้เครื่องคุณอืดได้อยู่ดี (แต่ก็น้อยกว่าวิสต้าละ...) ทว่ามีเอฟเฟ็กต์หลายๆ ตัวที่ดูไม่จำเป็นนักเพราะถ้าไม่สังเกตกันดีๆ ก็แทบมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำไป ดังนั้นเราจะมาปิดมันลง ณ บัดนาว

  • คลิ้กขวาที่ไอคอน My Computer เลือกเมนู Properties-> Advanced ตรงหัวข้อ Performance คลิ้ก Settings ทีนี้สังเกตดูจะเห็นว่ามี 4 หัวข้อหลักสำหรับปรับแต่งเอฟเฟ็กต์ 1. Let Windows choose what's best for my computer การให้วินโดวส์เลือกฟังก์ชันที่เหมาะสมกับเครื่องของคุณเองอัตโนมัติ 2. Adjust for best appearance สั่งปรับเอฟเฟ็กต์ทั้งหมดแบบสวยเต็มสูบ (แต่อาจทำให้การทำงานช้าลงบ้างสำหรับเครื่องสเปกต่ำ 3. Adjust for best performance เป็นการสั่งปรับให้ลดความสวยลงเพื่อเน้นการทำงานที่รวดเร็ว และ 4. Custom เอาไว้ปรับแต่งเพิ่มลดเอฟเฟ็กต์กันเอาเอง

3. ย้ายหน่วยความจำเสมือน ลดภาระไดร์ฟระบบ

ไดรฟ์ระบบ (ไดรฟ์ที่ลงระบบปฏิบัติการวินโดวส์) จะเป็นไดรฟ์ที่ต้องรับภาระหนักทั้งการเรียกใช้โปรแกรมต่างๆ หรือกระทั่งไฟล์ระบบ อีกทั้งยังต้องเผชิญปัญหาเรื่องข้อมูลที่กระจัดกระจาย (Fragment) ซึ่งเกิดจากการที่ไดรฟ์มีการอ่านเขียนข้อมูลอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าการทำงานจะยิ่งช้าลงเรื่อยๆ หากคุณไม่จัดเรียงข้อมูลให้กับมันบ้าง (Defragment) เพื่อให้สามารถเรียกอ่านข้อมูลได้ไวขึ้น และถ้าจะให้ดีก็ควรย้าย Pagefile (ซึ่งมีการอ่าน-เขียนไฟล์บ่อยๆ) ไปไว้ยังไดรฟ์อื่นที่ไม่ใช่ไดรฟ์ระบบเพื่อเป็นการลดภาระลงและช่วยให้การทำงานรวดเร็วขึ้น

  • คลิ้กขวาที่ไอคอน My Computer เลือกเมนู Properties-> Advanced-> Performance กด Settings ตรงแท็บ Advanced หัวข้อ Vitual Memory เลือกคลิ้กปุ่ม Change เลือกไดรฟ์ C: จากนั้นคลิ้กเลือกที่ No paging file แล้วกดปุ่ม Set เพื่อลบค่าที่ตั้งไว้
  • เลือกไดรฟ์อื่นที่คุณจะใช้จัดเก็บ Pagefile แทน (เช่น D:, E:, F) กดเลือก Custom size ปรับขนาดให้เหมาะสมทั้งค่า Initial size และ Maximum size จากนั้นกดปุ่ม Set เพื่อตั้งใช้ค่าที่ระบุลงไป
  • การตั้งค่า Initial size และ Maximum size ที่เหมาะสมนั้นให้คุณดูจากแรมที่มีในเครื่องของคุณเป็นหลักครับ หากว่ามีแรมน้อยกว่า 512 ให้เอาความจุแรมไปคูณกับ 1.5 เช่น แรม 256 จะเท่ากับ 256*1.5 = 384 ซึ่ง Initial size จะใส่ไป 256 ส่วน Maximum size เป็น 384 ยกเว้นว่าคุณมีแรมมากกว่า 512 อันนี้ให้ใส่ค่าแรมลงไปที่ Initial size ได้เลย ดังในรูปตัวอย่าง เครื่องผมมีแรมอยู่ 2 กิกะไบต์ = 2046 ดังนั้นค่า Maximum size ผมจะบวกเพิ่มไป 1 เท่าคือ 4092 นั่นเอง
  • การจัดเรียงไฟล์จะช่วยให้ระบบทำงานเร็วขึ้น Paging file ก็เหมือนกันครับ แต่ Defragment ของ Windows จะไม่สามารถจัดเรียงไฟล์ Paging file ได้ ดังนั้นคุณจำเป็นต้องมีโปรแกรมเฉพาะสำหรับมันโดยเฉพาะ สามารถดาวน์โหลดได้ที่ http://download.sysinternals.com/Files/PageDefrag.zip ครับ (ขนาด 70 กิโลไบต์)

การใช้งานนั้นไม่ยากเย็นเลย เมื่อเปิดโปรแกรมขึ้นมาผมแนะนำให้คุณติ๊กเลือกไว้ที่ Defragment at next boot เพื่อสั่งให้มัน Defragment แบบอัตโนมัติเมื่อบูตเข้าวินโดวส์ครั้งถัดไป

24 ก.ย. 2552

*Intel เปิดตัว Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊ก

ช่วงนี้ขออนุญาตรายงานข่าวการเปิดตัวเทคโนโลยีต่างๆ ในงาน IDF 2009 ของอินเทล (Intel) นะครับ เนื่องจากมีข้อมูลที่น่าสนใจมากมายทีเดียว ล่าสุดมีการเปิดตัวโพรเซสเซอร์ Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊ก โดยใช้โค้ดเนมว่า Clasksfield นั่นหมายความว่า โน้ตบุ๊กที่ใช้โพรเซสเซอร์รุ่นนี้จะมาพร้อมกับขุมพลังประมวลผลที่ล้นเหลืออย่างแท้จริง

สำหรับในงาน Intel Developer Forum 2009 เมื่อวานนี้ ทางอินเทลได้เปิดตัว Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊กอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งสาธิตประสิทธิภาพการทำงานของโน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับพลังประมวลผล 4 คอร์ (Quad core) และระบบสนับสนุนการเล่นเกมส์ที่เหนือชั้น รวมถึงการใช้งานแบบเวิร์กสเตชั่นระดับไฮเอ็นด์ โพรเซสเซอร์ Core i7 จะใช้สถาปัตยกรรม Nehalem ด้วยเทคโนโลยีการผลิตที่ 45 นาโนเมตร

โค้ดเนมของ Core i7 สำหรับโน้ตบุ๊กคือ Clasksfield โดยมันจะเป็นโพรเซสเซอร์สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นล่าสุดที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Turbo-boost ของอินเทล ซึ่งสามารถเพิ่มความเร็วของสัญญาณนาฬิกาให้กับแต่ละคอร์ในโพรเซสเซอร์ได้ตามความต้องการของงานที่เกิดขึ้นขณะนั้น โดยความถี่ของแต่ละคอร์จะเพิ่มขึ้นช่วงละ 133MHz ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไปถึงระดับสูงสุดของมัน ตัวอย่างเช่น โพรเซสเซอร์ Claksfield ที่กำลังทำงานอยู่ที่ 2GHz จะสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นไปถึง 3.2 GHz ด้วยการใช้ Turbo-boost เป็นต้น นอกจากนี้โครงสร้างของ Clarksfield จะมีแชนเนลสำหรับการทำงานร่วมกับหน่วยความจำ DDR 3 1333MHz ถึง 2 แชนเนลด้วยกัน และทำงานร่วมกับชิปเซตรุ่นใหม่ PM55 Express Chipset 

ในส่วนของบริษัทผผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ที่จะออกโน้ตบุ๊ตที่ใช้โพรเซสเซอร์โมบาย Core i7 ได้แก่ Asus, Dell, HP และ Toshiba สำหรับราคาชิปที่ 1,000 ตัวของ Core i7-920XM, 820QM และ 720QM จะอยู่ที่ $1,054, $546 และ $364 ตามลำดับ

*คลิปหลุด!!! ไมโครซอฟท์ "แท็บเล็ต"

สำหรับภาพ และคลิปวิดีโอของแท็บเล็ตที่หลุดออกมา แสดงให้เห็นชัดเจนว่า มันทำงานด้วยระบบหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วทั้ง 2 จอ โดยใช้สไตลัสในการอินพุตข้อมูล หรือเขียนข้อความต่างๆ เข้าไป อย่างไรก็ตาม มันดูคล้ายเครื่องอ่านอีบุ๊กมากกว่าคอมพิวเตอร์ ทางด้านไมโครซอฟท์ไม่ได้ให้คอมเมนต์ใดๆ เกี่ยวกับภาพ และคลิปที่หลุดออกมา อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวเรียกเจ้าแท็บเล็ตนี้ว่า "Courier"

เว็บไซต์มากมายตั้งข้อสังเกตว่า หากแท็บเล็ตของไมโครซอฟท์เห็นในภาพนี้เป็นของจริง ไมโครซอฟท์อาจจะไล่กวดแอปเปิ้ลได้ทันสำหรับอุปกรณ์ลักษณะนี้ก็ได้ แม้แอปเปิ้ลจะประสบความสำเร็จอย่างสวยงามสำหรับตลาดโน้ตบุ๊ก และทำท่าเหมือนจะเข้าไปในตลาดเน็ตบุ๊ก แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจ โดยส่งสัญญาณออกมาเป็นระยะๆ ว่า ทางบริษัทกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาอุปกรณ์ "แท็บเล็ต" (iPad ?)

Matt Buchanan บรรณาธิการจาก Gizmodo.com กล่าวถึง Courier ว่า มันดูเหมือนบุ๊กเล็ต (Booklet) มากกว่าแท็บเล็ต (tablet) "แทนที่จะมีลักษณะการแสดงผลเป็นหน้าจอเดียว มันกลับมีสองหน้าจอที่พับได้เหมือนหนังสือ"ซึ่งต้นแบบที่เห็นนี้เป็นอะไรที่ผู้ใช้รอคอย เนื่องจากมันดูทั้งเรียบง่าย และน่าจะใช้งานได้ง่ายอีกด้วย "ไมโครซอฟท์กำลังอยู่ในระหว่างการออกแบบอินเตอร์เฟซ โดยยังอยู่ในช่วงระยะเริ่มต้นจริงๆ" เขากล่าว "เนื่องจากมันมีแนวคิดมากมายในการออกแบบส่วนตัิดต่อไผู้ใช้ มันไม่ใช่เรื่องที่จะเร่งรีบทำให้เสร็จได้อย่างง่ายดาย"

สำหรับคลิปวิดีโอที่มีการเผยแพร่ออกมาบนเว็บไซต์ Gizmodo แสดงให้เห็นว่า อินเตอร์เฟซของ Courier ลื่นไหล และรวดเร็วมากๆ ซึ่งทาง Buchanan ก็ไม่แน่ใจว่า มันใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Mobile กันแน่ นอกจากนี้ Ina Fried คอลัมนิสต์เว็บไซต์ซีเน็ตยังแสดงทรรศนะต่อคลิปทีเห็นว่า มันมีความเป็นไปได้อย่างมาก แต่ทีเห็นน่าจะเป็นหนึ่งในหลายต้นแบบที่อยู่ในระหว่างการพัฒนาเท่านั้น

รายงานข่าวล่าสุดอ้างว่า ภาพถ่าย และคลิปวิดีโอต้นแบบ "แท็บเล็ต" ของไมโครซอฟท์ได้หลุดออกมา และถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ Gizmodo เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งหากต้นแบบที่เห็นในภาพ และวิดีโอเป็นของจริง ตลาดนี้อาจจะไม่หมูสำหรับแอปเปิ้ลเสียแล้ว

LCD หรือ LED ซื้ออะไรดี?

เท่าที่ทราบผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็ยังสับสนระหว่างจอ LED กับ LCD อยู่ดี ทั้งนี้เข้าใจว่า ฝ่ายการตลาดเรียก LED TV ก็เพื่อทำให้มันแตกต่างจาก LCD TV นั่นเอง

LED ย่อมาจาก Light-emitting-diode ซึ่งมันไม่ได้หมายถึง "ชนิด" ของทีวี แต่มันหมายถึงชนิดของ "เทคโนโลยีที่ใช้ส่องสว่างด้านหลังจอ" หรือ backlight ต่างหาก ในขณะที่ TV ทั้งสองชนิดยังคงเป็น LCD เหมือนเดิม ทั้งนี้ LCD จะย่อมาจาก Liquid-crystal display ซึ่งมันคือชนิดของเทคโนโลยีทีวี และมอนิเตอร์ โดยทั่วไป LCD จะใช้แสงสว่างส่องด้านหลัง (backlight) เป็น CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamp) เพื่อให้ความสว่างกับภาพในจอ LCD นั่นเอง แต่ LED TV จะแทนที่ CCFL ด้วย LED ทำให้ได้ภาพที่มีสว่าง-คม-ชัด-ลึกมากกว่า เรียกว่า คอนทราสของมันให้ความ "สว่างไสว-มึดสนิท" อย่างแท้จริง รวมถึงสีสันที่สมจริงมากขึ้นอีกด้วย ขออนุญาตอธิบายความแตกต่างอย่างสั้นๆ อีกครั้งตรงนี้นะครับ

กลับมาที่คำถามว่า LED ดีกว่า LCD อย่างไร? นอกจากเรื่องของความสว่างคมชัด-คอนทราสสุดๆ แล้ว การใช้เทคโนโลยีดังกล่าวทำให้ผู้ผลิตสามารถออกแบบจอ LED TV ได้บางกว่า LCD TV มาก ส่วนข้อดีข้อต่อไปก็คือ LED TV เป็นมิตรกับธรรมชาติ เนื่องจากไม่ได้ใช้ CCFL ที่มีสารปรอท (สารพิษอันคราย) แถมยังใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย ที่สำคัญ มันมีอายุการใช้งานที่นานกว่าจอ LCD อีกต่างหาก (โดยทั่วไปจะนานกว่าประมาณ 2 เท่า) ฟังข้อดีมาเยอะแล้ว ข้อเสียของ LED TV ก็คือ มันแพงกว่ามาก โดยผู้ผลิตให้เหตุผลว่า ราคาที่สูงขึ้นเกิดจากการออกแบบให้บางลง และคุณภาพของความคมชัด ซึ่งคุณสมบัติทั้งสองอย่างนี้เกิดจากการเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีส่องสว่างด้านหลังจอด้วย LED โดยแท้ นอกจากนี้ LED TV รุ่นใหม่ยังมีการเพิ่มคุณสมบัติให้แพงเว่อร์ขึ้นไปอีกด้วย เทคโนโลยี 240Hz ที่ำให้ได้ชมการแสดงผลภาพเคลื่อนไหวที่นุ่มนวลยิ่งขึ้น

หากพิจารณาจากข้อดีข้อเสียแล้ว LED TV หรือทีวีแอลซีดีที่ใช้แบคไลท์เป็น"แอลอีดี"เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าอยู่ดี โดยเฉพาะคุณภาพที่ได้ แม้มันจะมีราคาที่แพงกว่า แต่คุณก็ได้อายุการใช้งานคืนมา ดังทีได้กล่าวไปแล้วข้างต้น ก่อนจบคำถาม (ที่ไม่รู้ว่าตอบยาวไป หรือเปล่า?) มีทิปเล็กๆ น้อยๆ ก่อนชอปมาฝากด้วยครับ โดยหากคุณตัดสินใจที่จะซื้อเป็น LED TV แนะนำให้เลือกรุ่นทีมาพร้อมกับ Local dimming ซึ่งมันสามารถปิดกลุ่ม LED สำหรับพิกเซลของภาพที่เป็นสีดำ (ไม่มีประโยชน์ที่จะส่องสว่างพิกเซลที่ต้องมึดสนิท) ด้วยวิธีนี้นอกจากจะได้คอนทราสเพิ่มขึ้นแล้ว มันยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย หวังว่า คำแนะนำเหล่านี้คงจะเป็นประโยชน์กับคุณผู้อ่านอีกหลายๆ ท่านที่กำลังเลือกซื้อ LED TV กันอยู่นะครับ

ดูแลแบตฯให้ใช้ได้นานๆ

ผู้ใช้โน้ตบุ๊กเรื่องส่วนใหญ่ให้ความใส่ใจกับ "แบตเตอรี่" น้อยมาก ยกเว้นเวลาทีมีข่าวว่า มันร้อนจนลุกไหม้ หรือมีประกาศเรียกคืน ถึงจะตื่นเต้นให้ความสนใจพวกมันทีหนึ่ง อย่างมากก็อาจจะตั้งค่าการใช้พลังงานของแบตฯ (นึกแล้วน่าน้อยใจเหมือนกันนะเนี่ย) แต่สำหรับ Battery Care ฟรีแวร์เล็กๆ ตัวนี้จะช่วยดูแลสุขภาพของแบตเตอรี่ให้แทนคุณได้


Battery Care จะให้ความสนใจห่วงใยแบตเตอรี่ในโน้ตบุ๊กของคุณมากเป็นพิเศษ โดยมันสามารถตอบคำถามในสิ่งทีคุณนึกไม่ถึง ตัวโปรแกรมจะคอยตรวจสอบรอบเวลาที่ใช้ในการชาร์จ และดิสชาร์จแบตเตอรี่ตลอดเวลา ก่อนที่จะใช้อัลกอริธีมในการประเมินจากข้อมูลที่เก็บบันทึกไว้ว่า ถึงเวลาหรือยัง? ที่คุณควรจะดิสชาร์จแบตฯให้้หมดโดยสมบูรณ์สักที ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยยืดอายุ หรือลดอาการเสื่อมของแบตฯได้

ได้เวลาดิสชาร์จ (discharge) แบตเตอรี่โดยสมบูรณ์ เพื่อยืดอายุแบตฯ แล้ว

และเนื่องจากโปรแกรมสามารถเรียนรู้ประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ ทำให้มันคำนวณเวลาที่เหลือสำหรับการใช้งานต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังแสดงพลังงานที่เหลือในแบตเตอรี่ ตลอดจนยี่้ห้อผู้ผลิตให้ทราบได้อีกด้วย นอกจากนี้ โปรแกรมสามารถช่วยปรับแต่งค่าการใช้พลังงานของระบบปฏิบัติการอย่างเช่น Aero graphic ของ Vista และบริการอื่นๆ ที่กินไฟมากๆ ซึ่งสามารถใช้แทนยูทิลิตี้ Power Management ได้ อ้อ...โปรแกรมสามารถแสดงผลอุณหภูมิของ CPU ได้อีกด้วย


ลบไม่ได้? ไฟล์ถูกล็อค!!!

หากคุณผู้อ่านกำลังเผชิญกับปัญหาที่ว่า Windows ไม่ยอมให้ลบไฟล์ที่ไม่ต้องการออกไป ทำอย่างไรก็ลบไม่ได้ คำแก้ตัวที่ได้ยินจนคุ้นเคยจากระบบปฏิบัติการก็คือ ไฟล์ดังกล่าวถูก"ล็อค" หรือไม่ก็กำลังถูกใช้งานโดยโปรแกรมตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องน่ารำคาญมีใช่น้อย โดยเฉพาะมือใหม่หัดใช้คอมพิวเตอร์


บางทีสิ่งที่ระบบปฏิบัติการแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบนั้น อาจจะไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เราลบไฟล์เจ้าปัญหาไม่ได้เสียทีเดียว แต่ถ้าคุณมีความรู้เรื่องการใช้คำสั่ง Command Line ปัญหาระบบไม่ยอมให้ลบไฟล์อาจจะแก้ไขได้ง่ายขึ้น เอ่อ...แต่ว่า แค่จะลบไฟล์ทีไม่ต้องการถึงกับต้องรู้ลึกขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย? แล้วเมื่อไรจะได้ลบพวกมันออกไปสักทีล่ะ

วันนี้ผมมีวิธีที่ง่ายกว่ามานำเสนอครับ นั่นก็คือ LockHunter ฟรีแวร์ตัวเล็กๆ แค่เม็กกว่าๆ ที่ช่วยปลดล็อคพันธนาการไฟล์เจ้าปัญหาเหล่านี้ให้คุณได้ภายในอึดใจ อีกทั้งยังแสดงผลให้คุณทราบด้วยว่า ใครกันนะที่เหนี่ยวรั้งไฟล์ไว้ไม่ยอมให้คุณลบได้สำเร็จ เพียงแค่คลิกขวาบนไฟล์ที่คุณลบไม่ได้ เลือกรายการ "What is locking this file?" โปรแกรม LockHunter จะปรากฎขึ้นม พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบทันทีว่า ไฟล์ของคุณถูกล็อคโดยใคร ซึ่งอาจจะเป็น process ของวินโดวส์ที่คุณไม่รู้จักก็ได้ จากนั้นคลิ้กปุ่ม Unlock It! แล้วคลิ้กปุ่ม Delete เพื่อลบไฟล์เจ้าปัญหาออกไปซะ ไฟล์ที่ถูกลบจะถูกส่งไปยัง Recycle Bin เผื่อคุณเปลี่ยนใจในภายหลัง


18 ก.ย. 2552

เกมส์ Tetris + Pong =?

ขอเริ่มต้นด้วยเกมส์สนุกๆ โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบเกมส์คลาสสิกอย่าง Tetris และ Pong แบบว่า วันไหนไม่ได้เล่นสองเกมส์นี้ แล้วรู้สึกเหมือนชีวิตขาดหายอะไรบางอย่าง...ว่าแล้วก็ขอเอาใจคอเกมส์เก๋า ด้วยเกมส์ใหม่ที่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับประสบการณ์ความสนุก-ตื่นเต้นจาก เกมส์ทั้งสองได้พร้อมกัน นั่นก็คือ "TetriPong" ลองมาดูสิว่า เมื่อเกมส์ปองทะลุมิติเข้ามาในเกมส์เททริสมันจะเป็นอย่างไร?

Jayenkai นักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้สร้างเกมส์ใหม่ทีเกิดจากการผสมรูปแบบการเล่นของเกมส์ คลาสสิก 2 เกมส์เข้าด้วยกันนั่นคือ Pong กับ Tetris โดยพื้นฐานของการเล่นจะยังคงเป็นเททริสอยู่เหมือนเดิม แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาก็คือ ปอง ที่สามารถเด้งข้ามทะลุขอบ ชน "บล็อค" ต่างๆ ที่กำลังร่วงหล่นลงมา หรือแม้แต่ที่จัดเรียงใกล้ครบแถวแล้วก็ตาม แบบว่า ปอง จะกลายเป็นอุปสรรค เพิ่มเติมเข้ามาในเกมเททริส นอกเหนือจากเวลาที่เร็วขึ้น กับชิ้นบล็อคที่ไม่ลงตัว เฮ่อ...ลำพังเททริสก็เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว ยังต้องมาเจอกับเจ้าปองจอมป่วนอีกเนี่ยนะ

สำหรับคุณผู้อ่านที่สนใจสามารถดาวน์โหลดเกมส์ Tretripong ได้แล้ววันนี้ นอกจากเกมส์ Tetrispong แล้ว ทางนักพัฒนายังมีไอเดียรวมเกมส์คลาสสิกอย่าง Centipede ตะขาบจอมซ่ากับ Pong เป็น CentiPong อีกด้วย ผมชอบไอเดียนี้มาก เพราะเป็นอีกหนึ่งวิธีคิด หรือการสร้างนวตกรรม เพียงแค่เอาของเก่ามาเขย่ารวมกันก็เป็นของใหม่ได้แล้ว...

Firefox ยกเลิกการเรียกคืน "Session"

ถาม: ทุกครั้งที่ Firefox 3.5.2 ล่มการทำงาน เวลาเปิดขึ้นมา มันมักจะเรียกคืนหน้าเว็บทั้งหมด (restore session) ก่อนระบบจะเดี้ยงลงไป ซึ่งส่วนตัวผมไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับตรงนี้มากนัก บ่อยครั้ง(พักหลังล่มบ่อยเหลือเกิน)มันทำให้ผมต้องรอโหลดหน้าเว็บที่ไม่ได้ อยากดู แต่ยังไม่ได้ปิดก่อนมันเดี้ยง พอจะมีวิธียกเลิกคุณสมบัติการทำงานนี้บ้างไหมครับ?

ตอบ: ก่อนอื่นคงต้องถามว่า แน่ใจนะครับ ว่าต้องการอย่างนั้น ถ้าต้องการจริงๆ ก็จัดให้ได้ครับ โดยขั้นแรกให้คุณเปิดบราวเซอร์ Firefox ขึ้นทำงาน จากนั้นพิมพ์ในช่องแอดเดรสว่า about:config ขั้นตอนต่อไปก็คือ พิมพ์ในช่อง filter เพื่อหารายการที่ระบุว่า browser.sessionstore.max_resumed_crashes ให้ ดับเบิ้ลคลิ้กบนรายการนี้ แล้วกำหนดค่าของมันให้เป็น "0" รีสตาร์ทไฟร์ฟอกซ์ก็เป็นอันเรียบร้อย ซึ่งหลังจากนี้ไป เมื่อ Firefox เดี้ยงขึ้นมาขณะทำงาน เวลาเปิดโปรแกรมขึ้นมาใหม่ มันจะไม่มีการ restore session ให้คุณอีกต่อไปแล้วนะครับ จนกว่าคุณจะแก้กลับคืนเป็นอย่างเดิม...เราเตือนท่านแล้วนะ :p

อยากมี"ฟอนต์"ลายมือตัวเอง?

คุณเคยนึกอยากมี" ฟอนต์" (Font) หรือชุดตัวอักษรที่ใช้พิมพ์บนคอมพิวเตอร์ที่เป็นลายมือของตัวเองบ้างไหมครับ ? ผมคนหนึ่งล่ะที่เคยคิดอยากมีไว้ใช้กับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ก็รู้ดีว่า มันไม่ง่ายนักที่จะสร้างฟอนต์ขึ้นมาใช้งาน ล่าสุดผมไปพบบริการบนอินเทอร์เน็ตที่เปิดโอกาสให้คุณสามารถสร้างฟอนต์จากลาย มือตัวเอง เพื่อนำไปใช้ในระบบปฏิบัติการ Mac หรือ Windows ก็ได้ ที่สำคัญเป็นบริการ"ฟรี" และไม่ต้องลงทะเบียนก่อนใช้งานแต่อย่างใด

สำหรับบริการที่ผมกำลังพูดถึงนี้ือยู่บนเว็บไซต์ทีมีชื่อว่า Fontcapture.com โดยขั้นตอนการสร้างฟอนต์ก็ง่ายมาก เริ่มต้นจากดาวน์โหลดแบบฟอร์ม (ไฟล์ pdf) ทีใช้ในการเขียนตัวอักษรแต่ละตัวด้วยลายมือของเรามาก่อน ซึ่งคุณจะต้องพิมพ์แบบฟอร์มนี้ออกมา เพื่อใช้ปากกาเขียนตัวอักษรแต่ละตัวลงไปในช่อง

แบบฟอร์มที่กองบรรณาธิการ arip ทดลองดาวน์โหลดมา เพื่อเขียนชุดอักษรทีต้องการ แล้วสแกนเป็นไฟล์กราฟิก JPG (PNG จะดีกว่าครับ)

ตัวอย่างผลลัพธ์การใช้ฟอนต์ที่สร้างจากลายมือของเราโดย fontcapture โดยฟอนต์ที่ได้จะเป็น .TTF

เมื่อ เขียนเสร็จแล้ว ขั้นต่อไปก็คือ นำไปสแกนที่ความละเอียด 200 dpi จัดเก็บเป็นฟอร์แมต GIF หรือ PNG จากนั้นอัพโหลดไฟล์กราฟิกของชุดตัวอักษรที่เราสร้างไปให้กับเว็บไซต์ Fontcapture.com พร้อมตั้งชื่อฟอนต์ (Font Name) และผู้เขียน (Author) ซึ่งบริการจะแปลงภาพชุดตัวอักษรที่เขียนด้วยยลายมือคุณให้กลายเป็น ไฟล์ฟอนต์ที่พร้อมใช้งาน ให้คุณดาวน์โหลดกลับมาได้ เอาล่ะครับ คุณผู้อ่านท่านไหนสนใจ ลองเข้าทำตามขั้นตอนนี้จากบนเว็บไซต์ที่แนะนำมา หากได้ผลอย่างไรก็เล่าสูกันฟังบ้างนะครับ

กำจัดข้อมูลในฮาร์ดดิสก์เก่า

ถาม: อยากทราบวิธีที่ดีทีสุดในการทำลายข้อมูลที่เป็นความลับ ซึ่งอยู่ในฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าค่ะ โดยไม่ต้องการให้ใครสามารถกู้ข้อมูลที่อยู่ในนั้นขึ้นมาได้อีก รบกวนช่วยแนะนำวิธีทำลาย หรือซอฟต์แวร์ที่จะช่วยจัดการเรื่องนี้ด้วยค่ะ

ตอบ: คำถามยอดฮิตสลับกับวิธีกู้ข้อมูลจากฮาร์ดดิสก์ หรือแฟลชไดรฟ์ เรือยไปจนถึงการ์ดหน่วยความจำในกล้องถ่ายรูปก็คือ การทำลายข้อมูลที่อยู่ในฮาร์ดดิสก์ให้สิ้นซาก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยตอบไปแล้วว่า สามารถใช้ซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า Heidi Eraser หรือ ไม่ก็ใช้เครื่องทำลายฮาร์ดดิสก์แบบมือหมุนที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วเหมือนกัน แต่ถ้าอยากไฮเทคฯ หน่อยก็ใช้รุ่นข้างล่างนี้ แบบว่า แค่กดปุ่มปุ๊บ ฮาร์ดดิสก์ มือถือ หรือเครื่องเล่นเอ็มพีสาม จะถูกเจาะกดกระแทกเป็น 4 รูทะลุจนไม่สามารถกู้ข้อมูลกลับมาได้อีก

 

แต่นั่นดูจะเป็นวิธีทีโหดและลงทุนมากไปหน่อย ล่าสุดผมไปพบซอฟต์แวร์ทำลายข้อมูลที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งชื่อว่า Active@killdisk บนเว็บไซต์ killdisk.com ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี โดยซอฟต์แวร์ตัวนี้จะเปลี่ยนข้อมูลทั้งหมดในฮาร์ดดิสก์ของคุณให้กลายเป็นขยะ ด้วยการเขียนทับด้วย "0" ตลอดจนทั่วฮาร์ดดิสก์ (เวอร์ชันโปรฯ สนับสนุนถึง 17 มาตรฐานความปลอดภัยในการลบข้อมูล) เหตุผลที่จำเป็นต้องลบด้วยวิธีนี้ก็เนื่องจากเวลาลบไฟล์ใน Windows มันไม่ได้ถูกลบจริงๆ ข้อมูลที่ถูกลบยังอยู่ในฮาร์ดดิสก์ การเขียนทับด้วยข้อมูลอื่นจึงเป็นวิธีลบที่ปลอดภัยที่สุด

รวมฮิต"แผ่นโกง"วิธีใช้กูเกิ้ล

เวลาว่างพวกเราเราชอบหาของฟรี(ที่มีประโยชน์)จากบนเน็ตอยู่เสมอ พอดีว่าไปเจอทิปเจ๋งๆ ที่แจกฟรีสำหรับผู้ใช้กูเกิ้ล(Google)บนบล็อกแห่ง หนึ่ง โดยบางไซต์ที่แนะนำมาจะสามารถดาวน์โหลดเป็นไฟล์ PDF เพื่อนำมาพิมพ์เก็บไว้อ้างอิงเวลาใช้งานได้เลย จะเรียกว่าเป็น "Cheat Sheet" ก็ได้ เพราะมันรวบรวมคำสั่งต่างๆ แบบย่อสำหรับดูเพื่อใช้งานกูเกิ้ลได้ทันที สะดวก ง่ายดาย โดนใจวัยโจ๋จริงๆ

นอกจากชุดคำสั่ง และวิธีเข้าถึงฟังก์ชันของบริการ ตลอดจนเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ ของกูเกิ้ลแล้ว บางเว็บไซต์ยังมีการเผยทิปเด็ดๆ ที่ซุกซ่อนไว้อีกด้วย ซึ่งคุณผู้อ่านสามารถดาวน์โหลด หรือพิมพ์เก็บไว้อ้างอิง เพื่อใช้เป็นเหมือนคู่มืออย่างย่อๆ ในการใช้บริการของกูเกิ้ลให้คุ้มค่า ส่วนจะมีอะไรบ้างนัันตามไปดูกันเลย

1. Google Help: Cheat Sheet สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งหัดใช้กูเกิ้ล แล้วอยากจะทราบเทคนิคการค้นหาให้ได้สิ่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำมากขึ้น ผมว่า เข้าไปที่นี่เหมาะสุด เพราะเป็นที่รวบรวมเทคนิคพื้นฐานที่มือใหม่น่าจะลองหัดใช้ รับรองไม่ผิดหวังครับ

2. Google Docs & Spreadsheets Keyboard Shortcuts ส่วนที่นี้เหมาะสำหรับใครที่ใช้บริการแอพฯออนไลน์ เพราะเป็นที่รวบรวมคีย์ลัดของบริการทั้งสองไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งประหยัดเวลา และเวิร์กสุดๆ

3. Google Cheat Sheet (v.1.6) ส่วนตัวนายเกาเหลาชอบ"แผ่นโกง(การใช้งาน)"ของที่นี่มาก เพราะนอกจากจะรวบรวมชุดคำสั่ง และฟังก์ชันที่น่าสนใจได้อย่างครบถ้วนแล้ว ยังมีการจัดวางรูปแบบสวยงามน่าใช้อีกด้วย สามารถดาวน์โหลดไฟล์ PDF มาพิมพ์ได้เลย (เทคนิค ค้นหนัง ค้นเพลง อยู่ที่นี่ด้วยล่ะ)

4. Google Calculator Sheet Cheat สำหรับใครที่ชอบใช้กูเกิ้ลแทนเครื่องคิดเลข ต้องมาที่เลย เพราะมันจะรวมทุกฟังก์ชันของการคำนวณที่กูเกิ้ลทำได้ เรียกได้ว่า คุณสามารถใช้มันเป็นเครื่องมือช่วยทำการบ้านคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี

5. Google Advanced Operators Cheat Sheet อันสุดท้ายนี้เป็นแผ่นโกงสำหรับการใช้ตัวกระทำ (Operator) ขั้นสูง เพื่อการค้นหาที่ยิบย่อยเจาะจงลงไปมากขึ้น รับรองว่า หลายๆ คำสั่ง คุณผู้อ่านจะไม่เคยใช้มาก่อนอย่างแน่นอน

หวังว่า แหล่งของฟรีสำหรับการใช้บริการกูเกิ้ลให้คุ้มค่า คงจะเป็นที่ถูกใจของคุณผู้อ่านนะครับ แล้วว่างๆ จะหาทิปมาฝากกันอีกนะครับ